เทคโนโลยีในทุกวันนี้ได้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนอาจเรียกได้ว่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเราเลยก็ว่าได้ และในปัจจุบันเราจะเห็นว่าทั้งในตลาดของรถยนต์ และโทรศัพท์มือถือ ก็มีการเติบโตที่รวดเร็วมากเช่นกัน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราทุกคนต้องใช้งานสิ่งของทั้ง 2 สิ่งนี้ เพื่อดำเนินงานติดต่อสื่อสารกันอยู่แทบจะทุกเวลาก็ว่าได้ แต่ทว่าความเร่งรีบของสังคมในปัจจุบันทำให้บางครั้งการใช่งานของสองสิ่งนี้ถูกผนวกเข้าด้วยกัน ผลก็คือ การเพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุบนท้องถนน อันเนื่องมาจากผู้ขับขี่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ มีอัตราเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จนร้อนถึงต้องมีการคิดหามาตรการเพื่อออกมาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกันอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังจากที่ได้มี มติของคณะรัฐมนตรี เห็นชอบ พ.ร.บ. จราจรทางบก ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ ให้อนุมัติหลักการ พ.ร.บ. จราจรทางบก โดยมีสาระสำคัญ คือกำหนดห้ามผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสาร ในขณะรถเคลื่อนที่ แต่อนุโลมให้ใช้แฮนด์ฟรีได้
โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เคยเสนอมา โดยระบุเหตุผลว่าอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก มีผลเสียต่อการพัฒนาประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงตลอดเวลา ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือพูด โดยใช้มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับขี่ เพราะควบคุมรถได้ไม่ดี ควรห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่รถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อกับผู้อื่นในขณะรถเคลื่อนที่เว้นแต่จะมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ไม่ต้องจับหรือหนีบโทรศัพท์ จึงได้ยกร่าง พ.ร.บ.นี้ขึ้นมา และได้รับอนุมัติหลักการมาตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2543 และได้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2548 และส่งต่อให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาไปดำเนินการ แต่ต้องตกไปเพราะอายุสภาฯสิ้นสุดลง และต่อมาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งร่าง พ.ร.บ. นี้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทบทวนอีกครั้ง เนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ. 2549 ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หยิบร่าง พ.ร.บ. มายืนยันเพื่อให้ดำเนินการต่อ
การหารือของคณะรัฐมนตรี ได้ใช้ 2 แนวทางในการพิจารณาดังนี้ แนวทางแรก คือ ดูว่าประเทศที่ออกกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น แฮนด์ฟรี มีประเทศใดบ้าง พบว่ามี 4ประเทศ คืออิสราเอล ญี่ปุ่น โปรตุเกส และสิงคโปร์ แต่พบว่าประเทศเหล่านั้นระบบการจราจรดี การจราจรไม่หนาแน่นมาก มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี ฉะนั้น จึงสามารถจอดรถแล้วใช้โทรศัพท์ได้
แนวทางที่ 2 คือ ประเทศที่ออกกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ให้ใช้อุปกรณ์เสริมได้ พบว่ามี 21 ประเทศ เช่นเดนมาร์ก เยอรมนี เป็นต้น ซึ่งในที่สุดที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบให้ยึดแนวทางที่ 2 โดยห้ามเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ แต่ไม่ห้ามใช้แฮนด์ฟรี
ซึ่งที่ประชุมได้ข้อสรุปห้ามเฉพาะการใช้โทรศัพท์มือถือในการขับรถ แต่ไม่ได้ห้ามการใช้แฮนด์ฟรี หรืออุปกรณ์ไร้สายในการพูดคุยโทรศัพท์ และนอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือถึงการขับขี่รถยนต์บางประเภท ที่ควรผ่อนผันให้ใช้โทรศัพท์ได้ เช่นรถทหาร ตำรวจ และปอเต็กตึ้ง โดยจะให้อำนาจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในการออกแบบกฎยกเว้นว่ารถยนต์ประเภทใดบ้าง ที่จะได้รับการยกเว้นให้สามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อไป พร้อมทั้งประกาศกำหนดลักษณะการกระทำที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดา หรือไม่อาจควบคุมการบังคับรถให้มีความปลอดภัยได้
สำหรับการปรับปรุงเพิ่มบทลงโทษของผู้ขับขี่ให้สอดคล้องกันโดยผู้ใดฝ่าฝืนขับขี่รถโดยใช้โทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใดในขณะที่รถเคลื่อนที่ เว้นแต่รถลากเข็น หรือเป็นกรณีอื่นที่ ผบ.ตร.ประกาศกำหนด ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท แต่หากฝ่าฝืนขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดา หรือไม่อาจควบคุมการบังคับรถได้พอแก่ความปลอดภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สถิติการเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรทางบกนั้น สาเหตุส่วนใหญ่นั้นเกิดจากอะไรกันแน่?
ที่ผ่านๆมา เราจะเห็นว่าสาเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่นั้น จะพบว่าเกิดจากการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เป็นฐานความผิดเกี่ยวกับความประมาท และอีกสาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเมาสุรา
นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีภัยซ่อนเร้นจากการใช้อุปกรณ์สื่อสารซึ่งก็คือ โทรศัพท์มือถือ ก็เป็นต้นเหตุสำคัญเช่นกัน ที่นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุด้วยรูปแบบการใช้ต่างๆ ได้แก่ การพูดคุย โทรศัพท์ขณะขับรถยนต์ หรือขี่รถจักรยานยนต์ การคุยโทรศัพท์ในขณะที่กำลังอยู่ในระหว่างเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการข้ามถนน หรือขึ้น-ลงรถ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า แม้โทรศัพท์มือถือจะไม่ได้เป็นสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุ แต่การใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถนั้น ก็ทำให้คนขาดสมาธิได้เช่นกันเพราะ การขับรถจะต้องอาศัยการรับรู้อย่างน้อย 3 ด้านร่วมกับการประมวลผล และเช่นเดียวกันการโทรศัพท์จะต้องอาศัยการรับรู้อย่างน้อย 1 ด้าน ร่วมกับการประเมินผล ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าหากว่าเรามีการทำกิจกรรมหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันนั้น จะส่งผลให้การคิด การตัดสินใจของเรานั้นช้าลงไปอีก ซึ่งในการขับรถ การตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญ หากมีการตัดสินใจผิดพลาดไปเพียงไม่กี่วินาที ก็อาจจะส่งผลเสียให้เกิดขึ้นมาได้
พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงมีทั้งส่วนที่น่าจะเป็นไปได้ทั้งในทางทฤษฎี และเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
อย่างไรก็ดีหาก มองในทางทฤษฎีแล้วจะพบว่าการแก้ไขปัญหาโดยการออก พ.ร.บ. นี้ถือว่ามีส่วนช่วยในการลดปริมาณอุบัติเหตุทางจราจร อันเนื่องมาจากการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถได้ เพราะ การใช้โทรศัพท์ จะทำให้ความสามารถในการควบคุมลดลง เนื่องจากใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้มือถือ หรือ หนีบไว้ที่ซอกคอ อีกทั้งยังทำให้ผู้ขับขี่ขาดสมาธิและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่หากมองกลับกัน ในทางปฏิบัติแล้ว พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ผู้ใช้มีเหตุฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์จะสามารถใช้ได้หรือไม่ หรือหากผู้ใช้โทรศัพท์อ้างว่าไม่ได้ใช้ขณะโดนจับกุม จะจ้องจับแต่คนชนชั้นกลางที่หาเช้ากินค่ำหรือไม่ และการบังคับใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้จะจริงจัง และยืนยาวเท่าใด หรือเป็นเพียงหน้าฉากที่รัฐบาลต้องการออกมาแสดงผลงานและในท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็นเหมือนหมอกควันที่เห็นชัดในตอนแรก แต่สุดท้ายก็จางหายไปกับสายลม
ในเรื่องของการศึกษาเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่มีสาเหตุมาจากการใช้โทรศัพท์มือถือบนท้องถนนนั้น คิดว่าคงจะต้องมีการศึกษาหาข้อมูลให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มเติม เพราะ เรายังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมานั้น มีสาเหตุมาจากการใช้โทรศัพท์มือถือจริงๆหรือไม่ เราไม่สามารถที่จะไปยกตัวอย่างจากต่างประเทศมาได้ เพราะการปฏิบัติของเรากับต่างประเทศไม่เหมือนกัน อีกทั้งควรที่จะให้มีการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้กับผู้ใช้รถเรื่องนี้ ไม่อยากให้ภาระต้องตกอยู่กับภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ เรื่องของอุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากการใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จะมาร่วมกันดำเนินการรณรงค์ปลูกฝังให้ คนไทยรู้จักการใช้โทรศัพท์ได้ถูกวิธี ถูกกาละเทสะ และสถานที่ ไม่ต้องรอให้เกิดเรื่อง แล้วค่อยมาหาทางดำเนินการแก้ไข เพราะจากการที่มีจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือของไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เป็นผลมาจากการใช้โทรศัพท์มือถือก็เป็นไปได้
ต้องติดตามดูต่อไปว่า หากมีการประกาศใช้งานอย่างจริงจังแล้วทางปฏิบัติ ตำรวจสามารถกำกับและดูแลผู้ที่กระทำผิดตาม พ.ร.บ. ได้มากน้อยซักเพียงใด และอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก จะลดลงไปได้มากน้อยซักเพียงใด หรือพ.ร.บ. นี้จะเป็นเพียงแค่ให้เป็นช่องทางในการเอารัดเอาเปรียบประชาชนของตำรวจ อย่างที่มีให้เห็นและเป็นกันอยู่ทุกวัน.....
ที่มา เทเลคอมไดเจสท์ ปีที่1 ฉบับที่2 เดือนสิงหาคม 2550 http://www.manager.co.th/Telecom/ViewNews....D=9500000098405