เอกรัตน์ สาธุธรรม
ทันทีที่การไฟฟ้านครหลวงเริ่มมี "ธุรกิจเกี่ยวข้อง" ที่ไม่ใช่แค่บริการจ่ายไฟฟ้าสู่บ้านเรือนประชาชนเหมือนอย่างอดีต เงาจางๆ แห่งความทันสมัยก็เริ่มตามติดรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ทันที สายไฟเบอร์ออปติกขนาดความยาวกว่า 10,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล ระบบซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า GIS หรือระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ กลายเป็น "หัวใจ" หลักของธุรกิจเกี่ยวข้องของ กฟน. ที่กำลังเปลี่ยนบทบาทจากคนจ่ายไฟธรรมดา กลายเป็นคนจ่ายไฟแบบ "ไฮเทค"



"พรเทพ ธัญญพงศ์ชัย" ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เล่าว่า กฟน.ได้จัดทำแผนแม่บทไอซีทีระยะเวลา 4 ปี (พ.ศ.2551-2554) โดยได้รับการรับรองงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เป็นจำนวนหลักพันล้านบาท ซึ่งจะนำมาพัฒนาระบบไอทีในทุกส่วนภายใน กฟน. เช่น ระบบการจำหน่ายไฟโดยอัตโนมัติ การควบคุมการจ่ายไฟ รวมไปถึงการพัฒนาบริการสู่ภาคประชาชน

เมื่อเร็วๆ นี้ กฟน.ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง โครงการระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (จีไอเอส) กับกรมบังคับคดี ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่ต้องอาศัยระบบจีไอเอส เพื่อช่วยในการสืบหาข้อมูลต่างๆ ในคดีแพ่งและคดีล้มละลาย โดยเฉพาะในเรื่องของที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ โดย กฟน.จะเป็นผู้ดูแลระบบให้กับกรมบังคับคดี ในระยะเวลา 1 ปี

"ที่ผ่านมา เราลงทุนพัฒนาระบบจีไอเอสทั้งระบบมากกว่า 1,000 ล้านบาท ขายระบบนี้ให้หลายหน่วยงานได้นำไปใช้แล้ว เช่น การเคหะแห่งชาติ กรมควบคุมมลพิษ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และล่าสุดกรมบังคับคดี ซึ่งจะช่วยทำให้ระบบงานยึดทรัพย์ และงานจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นที่อยู่อาศัย รวมถึงที่ดินว่างเปล่า ในส่วนของการสืบค้นข้อมูล มีความละเอียดมากขึ้น"

กฟน.เป็นเจ้าของข้อมูลแผนที่ฐานเชิงรหัสครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี และสมุทรปราการ ด้วยมาตราส่วน 1:1000 ซึ่งผู้ว่าการ กฟน. บอกว่า มีความละเอียดมากที่สุดในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ระบบงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยเครือข่ายสื่อสารความเร็วสูง (High Speed Network) ทำให้รองรับการทำงานของกรมบังคับคดีในรูปแบบของเวบ แอพพลิเคชั่น ที่สามารถค้นหาและเรียกดูรายละเอียดข้อมูลของทรัพย์ ตามเงื่อนไขต่างๆ รวมถึงสามารถพิมพ์แผนที่ได้ตามขนาดที่ต้องการได้

พรเทพเล่าว่า ระบบบริการด้านไอทีและโทรคมนาคม ถือเป็นส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ กฟน. มาจากความพยายามที่ต้องการนำโครงข่ายที่มีอยู่ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและเสริมรายได้

ขณะที่ "ประสิทธิ์ เหมวราพรชัย" รองผู้ว่าการเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสาร กฟน. บอกว่า นอกเหนือจากระบบจีไอเอสแล้ว กฟน.ยังเตรียมเปิดตัวธุรกิจให้บริการเช่าเครือข่ายสายไฟฟ้า ที่เป็นใยแก้วนำแสงความเร็วสูง ซึ่งกำลังสรุปตัวเลขอัตราค่าบริการ คาดว่าจะคิดตามจำนวนแบนด์วิธที่เช่าใช้ต่อเดือน

บริการเช่าโครงข่ายใยแก้วนำแสง เกิดขึ้นหลังจาก กฟน.ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจให้เช่า /ใช้ / เชื่อม เส้นใยแก้วนำแสงตามความเร็ว (Speed) ในการใช้งาน

ผู้ว่าการ กฟน.บอกว่า ขณะนี้ มีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) 7-8 ราย ติดต่อขอเช่าเครือข่ายจาก กฟน. อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะลงนามสัญญากับบริษัท ฟรีอินเตอร์เน็ต จำกัด เป็นรายแรก ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีแผนงานจะเปิดให้บริการทริปเปิลเพลย์

ปัจจุบัน โครงข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟน.ครอบคลุมระยะทาง 10,000 กิโลเมตร รองรับความเร็วในการรับส่งข้อมูล 1 กิกะบิตต่อวินาที จึงสนับสนุนบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และวีพีเอ็น ได้เช่นเดียวกับโครงข่ายของผู้ให้บริการสื่อสาร

ผู้ว่าการ กฟน. บอกว่า แผนรายได้ของธุรกิจนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ในระดับ 130 ล้านบาทในปีแรก จากนั้นจะเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในปีถัดๆ ไป ทั้งนี้จะสามารถเริ่มทำผลกำไรได้ นับตั้งแต่สิ้นปี พ.ศ.2553 โดยบริการให้เช่าโครงข่าย กฟน.จะสามารถเริ่มให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551

“การเข้าสู่ตลาดธุรกิจโทรคมนาคม จะส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นการคืนกำไรให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า และเป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้แก่สินทรัพย์ของการไฟฟ้านครหลวงอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนราคาค่าบริการมั่นใจได้ว่า กฟน.จะไม่เอาเปรียบประชาชน และผู้ประกอบการเอกชน เพราะ กฟน.ระลึกดีว่า ตัวเองเป็นรัฐวิสาหกิจที่ทำประโยชน์ให้ประเทศ”

กฟน.ได้เริ่มนำโครงข่ายสายใยแก้วนำแสงมาใช้สนับสนุนในงานให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้ามาตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว และการเดินเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายอื่น โดยไม่จำเป็นต้องเช่าใช้โครงข่ายของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพียงอย่างเดียว แต่สามารถเลือกเช่าใช้โครงข่ายของ กฟน.ที่มีอยู่อย่างครอบคลุมในการให้บริการ

ทั้งนี้ ใบอนุญาตที่ได้รับจาก กทช.จะส่งให้ กฟน.สามารถให้บริการด้านโทรคมนาคมที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินการได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาต เพื่อใช้ในการให้บริการโทรคมนาคมที่ใช้โครงข่ายสายไฟเบอร์ออปติก รวม 10,000 กิโลเมตร ทั้งหมด 7 ประเภท ประกอบด้วย

1.การให้เช่าใช้โครงข่ายสายใยแก้วนำแสง 2.การให้เช่าใช้โครงข่ายสายไฟฟ้าจำหน่ายแรงต่ำ 3.การให้บริการเครือข่ายเสมือนส่วนตัว เพื่อการเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสารระหว่างสำนักงานของลูกค้า

4.การให้บริการการประชุมทางไกลผ่านโครงข่าย 5.การให้บริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ผ่านโครงข่ายสายใยแก้วนำแสง 6.การให้บริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ผ่านโครงข่ายสายไฟฟ้าจำหน่ายแรงต่ำ และ 7.การให้บริการโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายไอพี แบบไม่ใช้เลขหมาย โดยมีระยะเวลารวม 20 ปี

กฟน.คาดการณ์ว่า จะขยายกลุ่มผู้ใช้บริการไปยังองค์กรขนาดกลาง ขนาดเล็กและประชาชนทั่วไปในต้นปี 2553

ผู้ว่าการ กฟน.บอกด้วยว่า การนำเอาโครงข่ายในส่วนที่เหลือจากการใช้งานมาปรับปรุง เพื่อให้บริการ เป็นส่วนที่ทำให้ กฟน.มีต้นทุนทางการตลาดต่ำ จึงสามารถที่จะให้บริการที่มีคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เช่น การให้บริการบรอดแบนด์ผ่านปลั๊กไฟฟ้าที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่แห่งแรกของประเทศ ฯลฯ ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม

ขณะเดียวกัน กฟน.ยังวางแผนนำโครงข่ายไปเชื่อมต่อร่วมกับ กฟภ. กฟผ. เพื่อให้โครงข่ายครอบคลุมการให้บริการได้ทั่วประเทศด้วย

ก่อนหน้านี้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้รับไลเซ่นส์ประเภทเดียวกันนี้ไปแล้ว ถือเป็นการเพิ่มการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่ คือ โครงข่ายใยแก้วนำแสง (ไฟเบอร์ออปติก) ที่ปัจจุบันมีการใช้งานเพียง 2-4 cores จากที่มีอยู่ 24 cores ภายใน 1 เส้น ที่วางกระจายอยู่ทั่วประเทศ ในการใช้งานเพื่อติดต่อสื่อสาร และการควบคุมการปิดเปิดระบบไฟฟ้า

โดยโครงข่ายที่ใช้งานมีทั้งแบบไฟเบอร์ออปติก และแบบอยู่ในแกนสายไฟฟ้า โดย กฟภ. วางสายไฟฟ้าควบคู่กับระบบสื่อสารมานานแล้ว ซึ่งงบประมาณที่ใช้เป็นงบจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท ของจำนวนงบประมาณที่ใช้วางสายไฟฟ้า

ส่วนการดำเนินงานด้านโทรคมนาคม กฟภ.จะเป็นผู้ให้บริการเช่าโครงข่าย สำหรับเรื่องบริการจะไม่มีดำเนินการเอง ซึ่งอาจจะขัดต่อข้อกฎหมายและไม่มีความถนัด โดยปลายปี พ.ศ.2551 จะเริ่มเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้า และบริการโทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP)

การเปิดให้บริการด้านโทรคมของ กฟภ. จะเข้ามาช่วยลดช่องว่างการให้บริการ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีประชากร 17 ล้านครัวเรือน แต่มีโทรศัพท์บ้านใช้เพียง 3 ล้านครัวเรือน ซึ่งการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้า จะช่วยให้การสื่อสารทั่วถึง เพราะไฟฟ้าเข้าถึงประชากร 14 ล้านครัวเรือนแล้ว

ในขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ของ "กฟน." ได้ทำการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประชาชนในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ จำนวน 21,007 ล้านหน่วย ซึ่งยอดจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้รวม 67,700 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าในสิ้นปี 2550 จะอยู่ที่ประมาณ 42,500 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 2.5% และมีประมาณการรายได้รวมไว้ที่ 138,800 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,300 ล้านบาท

เขาบอกว่า การลงทุนพัฒนาระบบไฟฟ้าและการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เน้นความทันสมัย รวดเร็วและครบวงจร ในรูปแบบต่างๆ หลายโครงการ ส่งผลให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปัจจุบันมีผู้ใช้ไฟฟ้าประมาณ 2.6 ล้านราย มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 7,720 เมกะวัตต์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ประมาณ 5%

นอกจากนี้ กฟน.ยังเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมคุณภาพการจ่ายไฟฟ้า และบริการติดตั้งระบบไฟฟ้า เช่น ตรวจสอบและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าของสถานีต้นทาง และสถานีย่อยด้วยระบบ SCADA ควบคุมระบบจำหน่ายระยะไกลด้วยระบบ DAS ใช้แผนที่ในการออกแบบติดตั้งระบบไฟฟ้าและการบริการด้วยระบบ GIS เป็นต้น เพื่อพัฒนาระบบจ่ายไฟให้มั่นคงเพิ่มขึ้น รวมถึงรองรับการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านทรัพย์สินที่ลงทุนไว้

ผู้ว่าการ กฟน.บอกในตอนท้ายว่า ที่ต้องเรียกธุรกิจไฮเทคโทรคมเหล่านี้ว่า "ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง" แทนที่จะเรียกว่า "ธุรกิจเสริม" เหมือนอย่างที่หลายคนเรียกกัน เพราะมันดูเหมือนเป็นธุรกิจที่ กฟน."ไม่ค่อยจริงจัง" ใครจะรู้ได้หากอนาคตข้างหน้าธุรกิจที่ว่านี้บูมขึ้นมา กฟน.อาจหันมา "โฟกัส" เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งแน่นอนว่ามันคงไม่ใช่แค่ธุรกิจเสริมอีกต่อไป