ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย มอง "โอกาสทอง" ในไทย

สัมภาษณ์





แม้จะเป็นเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ที่ "เอมิลิโอ อูเมโอกะ" หนุ่มใหญ่ลูกครึ่งบราซิล-ญี่ปุ่น ผู้ดำรงตำแหน่งประธานไมโครซอฟท์ เอเชีย แปซิฟิค เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนไทยสัมภาษณ์พิเศษ แต่ก็มีสาระที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางของธุรกิจไมโครซอฟท์และภาพรวมความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะมุมมองที่มีกับประเทศไทย ในฐานะประเทศที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วติด 1 ใน 5 ของไมโครซอฟท์ทั่วโลก

รวมถึงการเกิดขึ้นของ "วินโดวส์ 7" ที่เหล่าบรรดาสาวกไอทีทั่วโลกตั้งตารอคอยช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดอย่างไร

"ประชาชาติธุรกิจ" มีบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจดังนี้

- จุดประสงค์หลักของการมาเยือน เมืองไทย

การเดินทางครั้งนี้เพื่อพบพาร์ตเนอร์และลูกค้ารายใหญ่ ที่นำเทคโนโลยี ไมโครซอฟท์ไปใช้งาน สำหรับไทยครั้งนี้ได้ไปเยี่ยม SCG experience เพราะมีการใช้บริการของไมโครซอฟท์ เช่น ระบบ ซีอาร์เอ็ม การบริหารจัดการคอนเทนต์ เป็นต้น ความจริง SCG เป็นลูกค้าของไมโครซอฟท์มานานแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีหลังบ้าน การไปเยี่ยม SCG ครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น

- ประเมินไมโครซอฟท์ในประเทศไทยอย่างไร

ปีงบประมาณที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย มีผลประกอบการที่ดีมาก และเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีการเติบโตรวดเร็วมากที่สุดของไมโครซอฟท์ แม้ว่าประเทศอื่นจะเติบโตสูงแต่มาจากฐานที่เล็ก แต่ประเทศไทยฐานตลาดแข็งแกร่งแล้ว แต่ยังสามารถมีการเติบโตแบบดับเบิล ดิจิตท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไม่ดีที่เกิดขึ้นทั่วโลก สวนทางกับจีดีพีที่ค่อนข้างต่ำ ถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีมาก โดยไมโครซอฟท์หวังว่าประเทศไทยจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จากการสำรวจของเอสแอนด์พี ไทยยังเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในอาเซียน

- ประเทศไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไร

ได้รับประโยชน์มหาศาล ในแง่ของศักยภาพการลงทุนใหม่ๆ จะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ในการทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น และจะเป็นประเทศที่ได้รับเลือกในการเริ่มต้นโครงการใหม่เป็นประเทศแรกๆ เป็นต้น

ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ลักษณะนี้มากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งแม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถบอกได้ว่า การลงทุนใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นคืออะไร แต่มีแน่นอน

- ลักษณะพิเศษของตลาดไทย

จุดแข็งของตลาดไทยคือ สังคมแห่งความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนได้จากรางวัล อิมเมจิ้น คัพ ที่ตัวแทนจากประเทศไทยชนะการแข่งขัน หรือแม้แต่โปรแกรมวินโดวส์ สตาร์ตเตอร์ ที่เริ่มเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ประเทศไทยก็เป็นผู้คิดค้นและถูกนำเป็นต้นแบบไปใช้ในประเทศอื่น ไทยถือเป็นประเทศที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก และทีมงานมีคุณภาพและทำงานหนักมากด้วย

แต่สิ่งที่ตลาดไทยยังขาดอยู่คือ ด้าน อินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง สวนทางกับประเทศอื่นซึ่งค่อนข้างจะพร้อมด้านนี้แล้ว ผู้บริโภคอาจจะยังกังวลเรื่องความปลอดภัย แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นกว่า 3-5 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินต่างๆ เพราะมองว่ายังเป็นช่องว่างทางตลาดที่สามารถทำธุรกิจได้

ส่วนหนึ่งอาจจะมีอุปสรรคคือ เรื่องอายุคนซึ่งเหมือนกันทุกประเทศ เพราะอายุที่แตกต่างกันสร้างปัญหาในการปรับใช้เทคโนโลยี แต่อีกไม่นานปัญหานี้จะหมดไป และจะกลายเป็นสังคมแห่งการเชื่อมต่อ มีอัตราการใช้บรอดแบนด์มากขึ้น มีการนำ 3จี มาใช้ ต่อไปคนจะใช้บริการต่างๆ ผ่านมือถือมากขึ้น เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

- ทิศทางการลงทุนของไมโครซอฟท์ในภูมิภาคนี้

ทิศทางการลงทุนของไมโครซอฟท์ ส่วนหนึ่งจะดูจากแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นนโยบายของไมโครซอฟท์จะเน้นสร้างความใกล้ชิดกับภาครัฐ เพื่อดูว่าแต่ละประเทศมีความ ต้องการด้านใดบ้าง แล้วไมโครซอฟท์สามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เช่น บางประเทศต้องการลงทุนด้านเฮลท์แคร์ โครงสร้างพื้นฐานการศึกษา หรืออื่นๆ เหมือนที่ทำในประเทศไทยซึ่งเราลงทุนด้านการศึกษา แรงงาน เฮลท์แคร์

รวมถึงการนำโครงการตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในไทยขยายไปยังประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย รวมถึงอาจไปแถบละตินอเมริกา อาทิ โครงการ มัลติพอยต์ ที่ประเทศไทยได้ทดลองนำร่อง และล่าสุดไมโครซอฟท์ก็ได้เซ็นสัญญากับโรงเรียน กทม.กว่า 400 โรงเรียน เพื่อนำมัลติพอยต์ไปใช้ในการเรียนการสอน เมื่อรวมกับโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาฯ ก็มีโรงเรียนทั้งหมด 1,200 โรงเรียนที่เข้าร่วม

นอกจากนี้ยังมีโครงการร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ที่นำเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ สามารถช่วยในเรื่องเศรษฐกิจเพราะเป็นการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ พร้อมกับมีโปรแกรมช่วยเหลือต่างๆ เช่น การทำระบบการจัดการให้ ซึ่งปัจจุบันไมโครซอฟท์มีร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เข้าร่วมโครงการกว่า 4,200 ร้าน ก็มี แผนขยายความร่วมมือกับเน็ตคาเฟ่ใน ต่างจังหวัดมากขึ้น จากเน็ตคาเฟ่ในไทยทั้งหมด 1.5 หมื่นร้าน

- แผนธุรกิจของไมโครซอฟท์ปีนี้

ปีนี้เป็นปีที่ไมโครซอฟท์มีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะครบวงจรอายุของสินค้าพอดี เช่น ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ 7 ที่จะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ และไมโครซอฟท์ออฟฟิศ 2010 ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้จะเป็นแฟลกชิปของไมโครซอฟท์ที่จะไปด้วยกัน โดยวินโดวส์ 7 จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานของคอนซูเมอร์ และขยายไปสู่อุปกรณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น

สำหรับรูปแบบการทำธุรกิจของไมโครซอฟท์จะเน้นการทำตลาดซอฟต์แวร์และการให้บริการควบคู่กัน ข้อดีคือทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าและบริหารได้ตรงใจตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ได้ว่าจะใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ไหน จะใช้ของโลคอลพาร์ตเนอร์ หรือจะลงทุนสร้างเอง ให้ใครเป็นโฮสต์เลือกได้หมด

นอกจากนี้ไมโครซอฟท์จะผลักดันเรื่องคลาวด์คอมพิวติ้งมากขึ้น โดยในต่างประเทศ เริ่มทำมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในไทยยังติดขัดบางอย่าง เช่น เรื่องสัดส่วนการใช้ บรอดแบนด์ที่ยังต่ำ

อุปสรรคของไทยคือเรื่องบรอดแบนด์ และความไม่เข้าใจของผู้ต้องการใช้งาน ทำให้เราต้องเน้นเรื่องการให้ความรู้ เช่น ปัจจุบันไมโครซอฟท์ร่วมกับ ม.ศรีปทุม ทำโครงการ Live@ed- อาศัยพื้นที่ของ ม.ศรีปทุม เป็นโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ของโรงเรียนใน กทม. ประมาณ 200 กว่าแห่ง ถือเป็นคลาวด์คอมพิวติ้งรูปแบบหนึ่ง

- วินโดวส์ 7 จะทำให้ตลาดเปลี่ยนไปอย่างไร

วินโดวส์ 7 จะสามารถทำงานได้ทั้งบนโมบาย, พีซี และทีวี ทำให้เกิดการทำงานที่หลากหลายและเพิ่มประสบการณ์ของ ผู้บริโภคมากขึ้น และรองรับการใช้งานของเน็ตบุ๊กที่ตลาดกำลังมีการเติบโต แม้ว่าหน่วยความจำแค่ 1GB ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ต่อไปวินโดวส์ 7 จะอยู่ในเน็ตบุ๊กที่วางจำหน่ายในตลาดด้วย

พร้อมกันนี้ไมโครซอฟท์มีแผนที่จะร่วมมือกับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ข้ามชาติทุก แบรนด์ รวมถึงผู้ผลิตท้องถิ่นเพื่อให้วินโดวส์ 7 อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง จะทำงานใกล้ชิดกับร้านค้าปลีก เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของ ผู้ใช้งานในการซื้อพีซี

- ทิศทางของวินโดวส์โมบาย

กลุ่มโมบายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ไมโครซอฟท์ให้ความสำคัญและมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด เป็นส่วนประกอบสำคัญของกลยุทธ์ไมโครซอฟท์ โดยปีนี้มีแผนที่จะเปิดวินโดวส์โมบาย 6.5 ซึ่งล่าสุดไมโครซอฟท์ได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับ โนเกีย ซึ่งเพิ่งมีข่าวการเปิดตัว "โนเกีย บุ๊กเลต 3จี" ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ จากก่อนหน้าที่เคยประกาศความร่วมมือเรื่องโปรแกรมออฟฟิศกับโนเกีย

เพราะทิศทางของคอนซูเมอร์จะเริ่มเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้นภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันตลาดสมาร์ทโฟนมีสัดส่วนเพียง 12% ของตลาดมือถือทั่วโลก ดังนั้นกลยุทธ์ของไมโครซอฟท์คือการเพิ่มจำนวนพาร์ตเนอร์เพื่อให้หันมาใช้ระบบ วินโดวส์โมบาย ซึ่งตอนนี้ก็เป็นพันธมิตรกับแบรนด์ต่างๆ เกือบทั้งหมด เช่น ซัมซุง แอลจี เอชทีซี เป็นต้น

- ประเมินภาวะเศรษฐกิจอย่างไร

ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา การขายพีซีทั่วโลกลดต่ำมากสุดในรอบ 15 ปี ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในธุรกิจคอมพิวเตอร์ ทำให้ราคาสินค้าตกต่ำ เกิดภาวะชะลอตัว ตอนนั้นไมโครซอฟท์จับตามองดูอย่างใกล้ชิดว่าตลาดจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ตอนนี้เราเชื่อว่าตลาดเริ่มกลับมาสู่สภาพปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสำหรับไมโครซอฟท์ภาพรวมมีการเติบโตดับเบิลดิจิตในหลายเซ็กเมนต์ เช่น เอสเอ็มอี ภาครัฐ และเอ็นเตอร์ไพรซ์

อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบว่า สิ่งที่ลูกค้าองค์กรต้องการคือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ลดค่าใช้จ่าย นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของผู้บริหารระดับสูง ดังนั้นกลยุทธ์ของไมโครซอฟท์ยังคงเน้นการใกล้ชิดกับลูกค้าและพาร์ตเนอร์ให้มากที่สุด เพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า ช่วยให้สามารถก้าวข้ามพ้นวิกฤตไปได้

อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของเครือข่ายทางสังคม ทำให้ไมโครซอฟท์ต้องเปลี่ยน รูปแบบในการพัฒนาสินค้า เพื่อทำทุกอย่างร่วมกันแบบบูรณาการ มีการร่วมมือกันมากขึ้น เวลาจะออกสินค้าหรือบริการใหม่ๆ จะต้องดูว่าเครือข่ายสังคมมีการเชื่อมโยงกับสินค้าที่จะออกมาอย่างไร เพื่อที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีที่ไมโครซอฟท์พัฒนามาถูกคอนเซ็ปต์และสามารถสร้างเป็น รายได้ให้บริษัทได้