[size=3]“ก็แรงกระตุ้นนี้ไงล่ะที่ฉันอยากจะให้แกเป็นของขวัญ แต่ทางฝ่ายแกก็คงจะยืนยันว่ามันเป็นเหตุจูงใจให้คนสองคนซึ่งทั้งอ่อนแอและโง่เขลาแอบลักลอบพบกันแม้เพียงช่วงสั้นๆ ทุกคราวที่มีโอกาสด้วย เมื่อวันพุธที่ 6 ฝ่ายผู้หญิงเพิ่งกลับมาจากไปเยี่ยมเพื่อนในมิดแลนด์ เนื่องจากเห็นว่ามีโอกาส เธอจึงลงข้อความนัดหมายในคอลัมน์ข่าวบุคคลของหนังสือพิมพ์ เดอะเดลี เทเลกราฟ ซึ่งพวกเขาใช้ติดต่อกันเป็นประจำ ซึ่งหลักฐานในหนังสือพิมพ์ยืนยันหนักแน่น ฟิลิป เลาด์แฮมไปตามนัด แล้วครึ่งชั่วโมงนั้นคู่รักที่มีความสุขอย่างน่าเวทนาก็นั่งกุมมือกันในห้องรอที่ซึมเซาร้างผู้คนของสถานีรถไฟที่ถนนบิชอป ครึ่งชั่วโมงตั้งแต่สี่โมงสิบสี่นาทีถึงสี่โมงสี่สิบห้านาที จากนั้นเลาด์แฮมก็ส่งคุณนายเกสท์ลิงไปที่สถานีรถไฟที่ถนนแพรด มุ่งหน้าไปวิกตอเรียเพื่อกลับอัสตัน ส่วนตัวเขาก็จับรถไฟเที่ยวห้าโมงเจ็ดนาทีกลับเซนต์แอ็บบอตส์”
“เรื่องนี้ยืนยันได้หรือเปล่า โดยเฉพาะเวลาแน่นอนที่อยู่ด้วยกัน”
“ไม่ได้เลยน่ะสิ ก็เล่นไปคุยในห้องนั่งรอในสถานีที่ถนนบิชอปเพื่อความเป็นส่วนตัว แล้วก็ได้ความเป็นส่วนตัวไปเต็มที่ เพราะไม่มีใครสักคนเห็นพวกเขาที่นั่น”
“เฮ้ย ถ้ายังงั้น” นายคาร์ไลล์ร้องอย่างใส่อารมณ์ “นายแขวนคอลูกความของนายเองเลยนะนั่น”
คาร์ราโดสอดยิ้มไม่ได้กับน้ำเสียงสลดใจของเพื่อนผู้กำลังปลื้มในชัยชนะ
“งั้นเรามาสำรวจเชือกกันเสียหน่อย” เขาพูดอย่างสุขุมเหมือนเคย
“นี่ไงล่ะ” คาร์ไลล์หยิบเอาหลักฐานเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเอกสาร ใส่ลงในมือของคาร์ราโดส ความจริงแล้วมันเป็นตั๋วสีส้มของรถโดยสารลอนดอนเจนเนอรัล
“จากรอยัลโอ๊ก สถานีใกล้แพดดิงตันที่สุด ไปถนนทอตแนมคอร์ต ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ถนนทรีเนียนที่สุด” เขาเสริมขึ้นอย่างมีนัย
“ใช่แล้ว” คาร์ราโดสยอมรับ และมองเห็นถึงนัยสำคัญนั้น
“ผู้ชายที่ซื้อบิวรีนทำตั๋วหล่นไว้บนพื้นร้าน เขาเปิดประตูทิ้งไว้ ไลท์คราฟต์ที่เดินตามไปปิดประตูก็เลยเห็นมันเข้าแล้วหยิบขึ้นมา เขาจำได้ว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นทีแรก เขาโยนลงถังขยะใต้เคานเตอร์ แล้วฉันไปพบมันเข้าตอนแวะไปหาเขาน่ะ”
“ความจำของไลท์คราฟต์น่าทึ่งมาก หลุยส์” คาร์ราโดสวิจารณ์ “เราแวะไปคุยกับเขาเสียหน่อยเป็นไง”
“นายคิดจริงๆ หรือว่ายังจะหาเรื่องอะไรได้เพิ่มเติมอีก” นายคาร์ไลล์ถามอย่างสงสัย “ฉันล้วงไส้ล้วงพุงเขาหมดแล้วนะเพื่อน”
“มันก็จริง แต่ฉันจะเข้าไปคุยกับเขาจากคนละมุมนี่ แกไปหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อหนุ่มเลาด์แฮมทำผิดจริง ส่วนฉันจะไปหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าเขาบริสุทธิ์”
“เอาละ แม็กซ์” นายคาร์ไลล์เห็นด้วยกับเพื่อน “แล้วอย่ามาว่าก็แล้วกันถ้านายกลายเป็นพวกรุ่มร่ามแบบคุณนายจี. จะให้ฉันบอกไหมว่าอัยการอยากจะบอกอะไรกับลูกขุนเรื่องหลักฐานของหล่อน”
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” คาร์ราโดสตอบง่วงๆ จากมุมที่เขานั่งอยู่ “ฉันรู้ ฉันบอกหล่อนแล้ว”
“อ้อ งั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องบอกนาย” นายคาร์ไลล์ผู้เสียเส้นปลีกตัวกลับไปนั่งที่ และเริ่มนึกรำคาญนิสัยพิลึกพิลั่นเป็นบางโอกาสของแม็กซ์ คาร์ราโดสไปจนกระทั่งรถหยุดลงหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง สินค้าที่จัดเรียงไว้บอกให้รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
นายไลท์คราฟต์มิได้แสร้งว่ารู้สึกยินดีที่ได้พบกับผู้มาเยือนทั้งสอง ทีแรกเขาไม่ยอมพูดเกี่ยวกับเรื่องที่นำแขกทั้งคู่มา เอาแต่พูดซ้ำๆ เหมือนนกแก้วนกขุนทองแค่ว่า “เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ผมพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้” จนกระทั่งนายคาร์ไลล์นึกอยากจะตบบ้องหูเขาให้สักฉาดเพื่อให้เขาได้สติ เพราะใบหูของเภสัชกรดูจะโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ มันดูเรื่อเรืองอ่อนไหว เภสัชกรผู้นี้ร่างผอมบาง มีผิวเผือดบางใสคล้ายงาช้าง และหนวดที่ตกแต่งไว้อย่างดีก็ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนหุ่นขี้ผึ้งเข้าไปใหญ่
“จะยังไงก็แล้วแต่” คาร์ราโดสขัดจังหวะขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเปลี่ยนจากหัวเสียเป็นหมดหวัง “คุณคงไม่รังเกียจที่จะเล่าเรื่องบิวรีน นอกเหนือจากที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่ไหมครับ”
“ผมยุ่งมาก” ว่าแล้วนายไลท์คราฟต์ก็หันกลับไปหยิบจับบรรดาขวดยาบนชั้นทั้งที่ไม่ได้จำเป็นใดๆ
“แต่ผมว่าเวลาของแม็กซ์ คาร์ราโดสซึ่งคุณคงพอได้ยินชื่อมาบ้าง ก็น่าจะมีค่าพอๆ กับเวลาของคุณเหมือนกัน เพื่อนยาก” นายคาร์ไลล์แทรกขึ้นราวกับถูกหมิ่นศักดิ์ศรี
“คาร์ราโดสหรอกรึ” ไลท์คราฟต์หันกลับมาและมองชายตาบอดอย่างสนใจ “ผมไม่ยักรู้นะเนี่ย แต่ยังไงก็ตามคุณก็รู้ดีนี่ว่าสุภาพบุรุษคนนี้ทำให้ผมตกที่นั่งแบบไหน”
“นั่นมันเป็นหน้าที่ของเขานี่ครับ” คาร์ราโดสพูดเบาๆ “แล้วที่แน่ๆ ถึงไม่ใช่เขาก็ต้องเป็นใครสักคนอยู่ดี ทำไมคุณไม่ช่วยผมให้ช่วยคุณออกมาจากสถานการณ์ที่ว่าล่ะ”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”
“ถ้าคดีของฟิลิป เลาด์แฮมสิ้นสุดแล้วเขาได้รับการปล่อยตัว คุณก็ไม่ต้องไปให้การอีก”
“ถ้างั้นก็คงช่วยได้ ว่าแต่ทำไมคดีถึงจะสิ้นสุดล่ะ”
“คุณจะยอมให้ผมลองชิมบิวรีนดูหน่อยได้ไหม” คาร์ราโดสแนะขึ้นมา “ยังมีเหลืออยู่บ้างไหมครับ”
“แม็กซ์ แม็กซ์” นายคาร์ไลล์ร้องเตือนอย่างตกใจ “นายไม่รู้หรือไงว่าไอ้นั่นมันมีพิษถึงตายเชียวนะ แค่เศษหนึ่งส่วนห้าเกรน…”
“คุณไลท์คราฟต์รู้ดีน่าว่าจะจัดการมันยังไง” ซึ่งนายไลท์คราฟต์ก็รู้จริงๆ เขารินน้ำเย็นลงในถ้วยตวง แล้วจุ่มแท่งแก้วลงในขวดยาซึ่งไม่ได้วางอยู่บนชั้น แล้วใช้แท่งแก้วนั้นกวนในน้ำ จากนั้นหยดสารละลายหยดหนึ่งลงไป
“เศษหนึ่งส่วนหนึ่งแสนสองหมื่นห้าพันส่วนครับ คุณคาร์ราโดส” เขาบอกแล้วยื่นส่วนผสมนั้นให้
คาร์ราโดสใช้แค่ริมฝีปากสัมผัสกับของเหลวนั้น พิจารณาความรู้สึกแล้วก็เช็ดปาก
“ทีนี้ขอดมกลิ่นครับ”
ขวดที่เปิดจุกออกถูกยื่นให้ เขารับมาสูดกลิ่น
“กลิ่นเหมือนสตูว์เห็ดเลย” เขาออกความเห็น “มันใช้สำหรับทำอะไรหรือครับ คุณไลท์คราฟต์”
“เท่าที่ผมรู้ก็ไม่ได้ไว้ใช้ทำอะไร”
“แต่ลูกค้าคงต้องบอกว่าเอาไปทำอะไร”
เภสัชกรผิวเผือดหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น
“ใช่ครับ” เขายอมรับ “มีหลายอย่างมากที่ผมรู้สึกว่าเป็นปริศนา ผู้ชายคนนั้นเข้ามาหลังจากผมเปิดไฟในร้านได้ไม่นาน แล้วพยักหน้าให้ผมเหมือนคนคุ้นเคยพร้อมกับพูดว่า ‘สวัสดีตอนเย็น คุณไลท์คราฟต์’ ผมก็เลยเหมาเอาว่าคงเป็นใครสักคนที่ผมจำไม่ได้ ‘ผมอยากได้ดินประสิวอีกสักครึ่งปอนด์’ เขาบอก แล้วผมก็จัดการหยิบให้ แต่จนป่านนี้ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเขาเคยมาซื้อดินประสิวไป ดินประสิวเป็นของธรรมดาๆ แล้วผมก็ขายมันทุกวัน ผมจำหน้าคนไม่ค่อยเก่งด้วย อันนี้ผมยอมรับ มันทำให้การค้าขายของผมแย่ไปบ่อยๆ เราไม่ได้คุยอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอันขณะที่ผมห่อของให้ หลังจากที่จ่ายเงินและกำลังจะกลับ เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง ‘ว่าแต่คุณมีบิวรีนอยู่บ้างไหม’ เขาถาม โชคไม่ดีที่ผมมีอยู่สองสามออนซ์ ‘มีสิครับ ว่าแต่คุณรู้จักเจ้าตัวนี้ดีใช่ไหม’ ผมถามเป็นเชิงเตือน ‘ขอถามได้ไหมครับว่าคุณต้องการมันไปทำอะไร’ เขาพยักหน้าแล้วยกห่อดินประสิวที่ถือในมือขึ้นมา ‘ก็แบบเดียวกันนี่แหละครับ’ เขาตอบ ‘เอาไปทำสัตว์สตัฟฟ์’ ผมก็เลยจัดบิวรีนให้เขาไปครึ่งออนซ์”
“แล้วมันใช้ทำสัตว์สตัฟฟ์ได้จริงหรือเปล่าครับ”
“ไม่น่าจะได้ ผมลองถามๆ ดูแล้วไม่เห็นมีใครรู้เรื่อง ดินประสิวน่ะใช้กันมาก แล้วก็ยังมีสารพิษอีกหลายชนิด อย่างสารหนู แล้วก็เมอร์คิวริกคลอไรด์ แต่ไม่มีบิวรีน ไม่ใช่หรอก คงเอามาอ้างกลบเกลื่อนเสียมากกว่า”
“ผมขอดูหนังสือเกี่ยวกับสารมีพิษได้ไหมครับ”
นายไลท์คราฟต์หยิบให้โดยไม่ค้านอะไร และคาร์คาโดสก็ไล่นิ้วไปตามตัวหนังสือ
“เอาละ น่าพอใจทีเดียว แล้วเป็นเรื่องจริงไหมครับคุณไลท์คราฟต์ ที่มีเภสัชกรไม่ถึงครึ่งโหลที่มีเจ้าสารตัวนี้อยู่ในครอบครอง เรารู้มาอย่างนั้นน่ะครับ”
“ผมเชื่อว่าอย่างนั้น แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าคนอื่นจะมีไหม”
“แปลกจริงๆ ลูกค้าของคุณเมื่อวันที่ 6 ดูเหมือนจะตรงมาที่นี่เลย ปกติคุณออกใบแจ้งราคาหรือเปล่าครับ”
“ผมจะออกเฉพาะสารเคมีที่ใช้เกี่ยวกับการถ่ายภาพครับ บิวรีนไม่รวมอยู่ในนั้น”
“คุณนึกเหตุผลออกบ้างไหมครับว่าทำไมฟิลิป เลาด์แฮมถึงได้คิดว่าเขาจะหาตัวยาที่พิเศษอย่างนี้จากร้านคุณได้ คุณไม่เคยติดต่อกับเขา หรือเคยเห็นชื่อหรือที่อยู่ของเขามาก่อนเลยใช่ไหม”
“ไม่ครับ เท่าที่ผมจำได้ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย”
“ถ้างั้นคุณก็คงสรุปว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ อ้อ ว่าแต่คุณไลท์คราฟต์ ทำไมคุณถึงมียาพิษหายากซึ่งไม่ได้มีประโยชน์ทางการค้าและไม่มีใครต้องการอยู่ในร้านล่ะครับ”
เภสัชกรถึงกับยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำถามตรงๆ แบบนั้น
“ธรรมดาแล้วผมไม่มีไว้ขายหรอกครับ” เขาตอบ “ไอ้ที่มีอยู่นิดหน่อยนั่นบังเอิญมันเหลือจากที่ผมไว้ใช้เอง”
“ที่คุณไว้ใช้เอง อ้าว ถ้าอย่างนั้นมันก็มีที่ใช้น่ะสิ”
“เปล่าครับ เคยมีข่าวรั่วออกมาจากวงการถ่ายภาพเมื่อนานมาแล้วว่าเราใกล้จะไปถึงจุดปฏิวัติขนานใหญ่ของภาพสี โดยมีบิวรีนเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการ ผมเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่เชื่อทันที โชคไม่ดีว่ามันก็เป็นแค่การค้นพบที่ถูกต้องในเชิงทฤษฎีแต่ล้มเหลวในเชิงปฏิบัติ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“แย่จริง” คาร์ราโดสพูดเบาๆ น้ำเสียงเจือความเข้าใจและเห็นใจ “น่าเสียดาย คุณสนใจเรื่องการถ่ายภาพหรือครับ คุณไลท์คราฟต์”
“มันเป็นงานอดิเรกที่ผมรักมาก เภสัชกรส่วนใหญ่มักจะถ่ายรูปกันอยู่แล้วเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในงานของเรา แต่ผมอุทิศเวลาว่างทั้งหมดให้กับการทดลอง โดยเฉพาะในด้านภาพสีนะครับ”
“ภาพสี จริงสินะ มันมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว แล้วกระบวนการบิวรีนนี่… ผมเข้าใจว่ามันคงจะทำเงินไม่น้อยทีเดียว ถ้าเกิดมันสำเร็จขึ้นมา”
นายไลท์คราฟต์หัวเราะเบาๆ แล้วถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน เขาลืมเรื่องเลาด์แฮมและคดีที่กวนใจไปชั่วขณะ ท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ผมก็คิดแบบนั้นครับ คุณคาร์ราโดส” เขาตอบ “มันจะเป็นการเปิดศักราชใหม่เลยทีเดียว นับตั้งแต่เกอแดงผลิตเพลทแห้งแผ่นแรกขึ้นมาเมื่อปี 54 ลองคิดดูสิครับ จากกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนของดินเดล อีลอฟ และจั๊บบ์ มาเป็นการพิมพ์ครั้งเดียวที่ให้สีหลากหลาย แล้วถ้าพูดกันในแง่เงินๆ ทองๆ กำไรมันมหาศาลจนคุณนึกไม่ถึงเชียวล่ะ”
“แล้วตอนนั้นมีคนทำกันเยอะไหมครับ” คาร์ราโดสถาม
“กระบวนการบิวรีนน่ะหรือ”
“ครับ คุณบอกว่ามีข่าวรั่วออกมา แล้วมีคนรู้กันเยอะไหม”
“ไม่เลย รู้กันแค่กลุ่มต้นคิดมีไม่กี่คน แล้วทุกคนก็คงอุบกันเงียบ มันไม่เคยเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ดังนั้นเมื่อทฤษฎีนี้ล้มเหลวขึ้นมาก็ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป”
“คุณรู้จักทุกคนที่ทำเรื่องนี้หรือเปล่า คุณไลท์คราฟต์”
“เอ่อ ครับ ผมคิดว่าผมพอรู้ ไม่มากก็น้อย” เภสัชกรพูดพลางไตร่ตรอง “คืออย่างนี้ คนที่ค้นพบสูตรนั่นเป็นสมาชิกของสมาคมไอริสสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งผมเองเคยเป็นเลขานุการ ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้เล็ดรอดออกไปนอกเหนือจากคณะกรรมการสมาคม”
“นานแค่ไหนแล้วครับ”
“ปีหนึ่ง ราวๆ สิบแปดเดือนได้ครับ ก็เรื่องนี้แหละที่ทำให้สมาคมแตกแบบไม่ค่อยสวยงาม”
“สมมุติว่าถ้าบังเอิญคุณได้รู้ว่า มีสมาชิกบางคนยังแอบทำการทดลองด้วยบิวรีนอยู่ คุณจะคิดว่ายังไงครับ
นายไลท์คราฟต์ครุ่นคิด จากนั้นเขาจ้องมองคาร์ราโดสด้วยความคาดไม่ถึง แทบจะตกใจด้วยซ้ำ เขากัดเล็บอย่างงุนงงและไม่แน่ใจ
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใคร” เขาตอบ
“แล้วมีทางเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นคนที่คุณไม่เคยเห็นหน้า แต่รู้จักที่อยู่ของเขา”
“พอลเด็น” นายไลท์คราฟต์ร้องขึ้น “พอลเด็น ให้ตายสิ ผมเชื่อว่าคุณมาถูกทางแล้วครับ เขาเป็นคนเก่งที่สุดในกลุ่ม แล้วก็ไม่เคยมาประชุมเลยสักครั้งเดียว เซาเฮมซึ่งคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกรู้จักพอลเด็น และเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเขา เซาเฮมเป็นอัจฉริยะที่ทำอะไรไม่เข้าท่า ไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่าง พอลเด็น ใช่แล้วครับ สุดท้ายพอลเด็นนี่เองแหละบอกเซาเฮมว่าความคิดนี้ไม่มีประโยชน์ เขาส่งรายงานมาให้ที่ประชุมอ่านด้วย ถ้าอย่างนั้นพอลเด็นก็สนใจเรื่องบิวรีนขึ้นมาอีกสินะ”
“เขาอยู่ที่ไหนครับ” คาร์ราโดสถาม
“ไอวอร์เฮาส์ ตรอกวิลมิงตัน เอ็นสตีด ผมเป็นเลขาฯ ก็เลยบันทึกไว้หลายครั้งครับ”
“นั่นอยู่ที่เดอะเกรท เวสต์เทิร์น แพ็ดดิงตัน” คาร์ราโดสชายตาบอดพูด “ช่วยจดที่อยู่ของคนอื่นๆ ที่คุณรู้จักให้หน่อยได้ไหมครับ คุณไลท์คราฟต์”
“ได้ครับ ผมมีสมุดรายชื่อสมาชิก แต่ตอนนี้ผมเชื่อนะว่าพอลเด็นคือผู้ชายคนนั้น ผมเชื่อว่าผมเคยเห็นเขาครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ก่อนเขาไม่ได้ไว้หนวดนะครับ”
“ถ้าคุณเชื่อแบบนี้ตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อน เราคงไม่ต้องอิหลักอิเหลื่อกันแบบนี้หรอก” นายคาร์ไลล์วางท่าปั้นปึ่ง
“คุณคาร์ไลล์ ก็ตอนมาคราวก่อนคุณปักใจว่าต้องเป็นนายเลาด์แฮม ไม่ยอมให้ผมคิดถึงคนอื่นเลยนี่” เภสัชกรย้อนเข้าให้ “คุณก็จะเป็นพยานว่าผมไม่เคยเอ่ยว่าเขาเป็นลูกค้าของผม เอ้า นี่ครับสมุดรายชื่อ เซาเฮมอยู่ที่พ็อตเตอร์สบาร์ วอยนิทช์อยู่ที่ไอสลิงตัน ครอฟอร์ดอยู่สตรีทแทมฮิลล์ บราวน์อยู่เซาธ์แทมตันโรว์ วิคเคอร์อยู่แคล็ปแฮม คอมมอน ไทเดอยู่ที่ฟุลแฮม พวกนี้ผมรู้จักดีเพราะทำงานด้วยกันนาน วิลเลียมนี่ไม่ค่อยรู้จัก เขาตายแล้วด้วย บิ๊กวู้ดไปอยู่แคนาดา ผมคิดว่านอกเหนือจากพวกเราไม่น่ามีใครที่บ้าบิวรีนอีก เราเคยเรียกกันแบบนั้นครับ...บ้าบิวรีน”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ คุณเรียกว่าอะไร” คาร์ราโดสถาม
“ตอนนี้รึ เอ่อ ผมแค่หวังว่าคุณจะช่วยไม่ให้ผมต้องไปศาลและก็พ้นจากเรื่องนี้เสียทีครับ คุณคาร์ราโดส ถ้าพอลเด็นแอบทดลองด้วยบิวรีนอีก ผมเองก็อยากจะใช้เวลาว่างทำดูบ้างเหมือนกัน”
อีกสองสามชั่วโมงต่อมานักสืบทั้งสองก็ไปกดออดหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่เอ็นสตีด เมืองชนบทเล็กๆ อยู่ห่างจากเบิร์กเชอร์ไปประมาณยี่สิบไมล์เพื่อถามหาพอลเด็น
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพาไลท์คราฟต์มาชี้ตัว” คาร์ราโดสฟันธง “ถ้าพอลเด็นปฎิเสธ คำให้การของเพื่อนเราก็จะทำให้หมอนี่หลุดจากศาลไปเลย”
“ฉันยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่นะ” นายคาร์ไลล์ตอบ “ไลท์คราฟต์เป็นพวกลื่นไหลก็จริง แต่เมื่อวานเขาอาจเข้าใจถูกแล้ว ส่วนวันนี้เขาแค่เข้าใจผิดก็ได้ มันไม่มีอะไรยืนยันได้เลย”
ทั้งสองถูกพาไปรอที่ห้องรับรองอันหรูหราดูเป็นพิธีการ นายคาร์ไลน์สังเกตบรรยากาศอันอบอุ่นและรสนิยมของสุภาพบุรุษที่ชอบอยู่บ้านและรักความสะดวกสบาย
ประตูเปิดออกโดยสุภาพสตรีวัยกลางคนท่าทางอารมณ์ดีและเก่งกาจด้านการบ้านการเรือน เห็นได้ชัดจากสีหน้ายิ้มแย้มและท่วงท่าสบายๆ ที่แสดงออกมา
“พวกคุณมาพบสามีของฉันหรือคะ” เธอเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
“ใช่ครับ เราอยากพบคุณพอลเด็น” นายคาร์ไลล์ตอบอย่างสุภาพ “คงรบกวนเวลาไม่เกินสองสามนาทีครับ”
“ตอนนี้เขายุ่งมาก ถ้าคุณมาเรื่องการเลือกตั้งละก็ (ขณะนั้นการเลือกตั้งในท้องถิ่นกำลังเข้มข้น) เขาไม่สนใจการเมืองหรอกค่ะ ไม่ค่อยจะไปลงคะแนนด้วยซ้ำ” อากัปกิริยาเธอไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แค่ดูเป็นการเป็นงานเหมือนกำลังจัดการกับปัญหารอบๆ ตัว
“มีเหตุผลทีเดียวครับ มีเหตุผลทีเดียว” นายคาร์ไลล์พูดรัว น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นประจบประแจง “อย่างไรก็ตาม” เขาทำหน้าตายขณะเดาะอุปมาที่ได้ยินในโรงละครเมื่อสองสามวันก่อนซึ่งเขาหัวเราะเสียแทบแย่ “ครับ จะว่าไปไอ้การเลือกตั้งก็ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากเปลี่ยนสีเน็คไทของคนที่มาล้วงกระเป๋าเงินเรา เปล่าเลยครับคุณนาย ที่พวกเรามานี่ ค่อนข้างเป็น เอ่อ เรื่องส่วนตัว”
คุณนายของบ้านมองหน้าคนทั้งสองสลับกันด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
‘ดูท่าจะเป็นความลับสิคะนี่’ ใบหน้าเธอเหมือนจะบอกแบบนั้น ‘เอาละค่ะ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่คิดว่าถ้ารู้เรื่องก็จะช่วยพูดให้’
“ตอนนี้พอลเด็นอยู่ในห้องมืดค่ะ” คือสิ่งที่เธอพูดออกมาจริงๆ “ฉันเกรงว่าจะพูดให้เขาออกมาไม่ได้ถ้าฉันไม่ทราบเรื่องก่อน”
“เราเข้าใจครับว่ามันยากที่จะดึงความสนใจของคนผู้มุ่งมั่นกับงาน” คาร์ราโดสพูดขึ้นเป็นครั้งแรก “ถ้างั้นคุณจะพาเราไปที่ประตูห้องมืดได้ไหมครับคุณนาย เพื่อที่เราจะได้คุยกับเขาผ่านประตู”
“เราลองดูก็ได้ค่ะ” เธอเห็นด้วยทันที “ถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญมากขนาดนั้น”
ห้องมืดอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องโถง คุณนายพอลเด็นพาพวกเขาไปยังประตูห้อง รออยู่ครู่หนึ่งแล้วเคาะประตูเบาๆ
“ว่าไง” เสียงที่ตอบออกมาค่อนข้างหงุดหงิด
“มีสุภาพบุรุษสองคนมาขอพบคุณค่ะ แลนซ์”
“เวลาอยู่ในนี้ผมพบใครไม่ได้ทั้งนั้น” เสียงแหลมดังขัดจังหวะ “คุณก็รู้นี่ คลารา”
“ค่ะที่รัก” เธอปลอบประโลม “แต่ฟังหน่อยนะคะ พวกเขาอยู่ตรงประตูนี่เอง ถ้าคุณพอจะปลีกเวลามาคุยกับเขาสักนิด ก็จะได้รู้ว่าธุระของเขาสำคัญอย่างที่เขาว่าจริงหรือเปล่า”
“รอเดี๋ยว” เสียงตอบกลับมาหลังจากนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาได้ยินเสียงคนเดินมาหยุดอยู่อีกด้านหนึ่งของประตู
ออกจะเป็นการยากที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นท่ามกลางแสงสลัวตรงมุมห้อง คาร์ราโดสก้าวเข้าไปใกล้ประตูเพื่อที่จะพูด เขาคงเผลอเหยียบเท้าของนายคาร์ไลล์เข้าก็เลยเกิดการชุลมุนขึ้น คาร์ราโดสยื่นมือออกไปเพื่อประคองตัวไว้ แล้วประตูห้องมืดก็เปิดออกจนแสงสว่างลอดเข้าไปได้ กลิ่นอุ่นๆ ฉุนๆ ลอยออกมา พอลเด็นมั่นใจเต็มที่ในความปลอดภัยภายในบ้านจึงไม่ได้ล็อกประตูห้องไว้
“ไอ้ฉิบหายเอ๊ย” พอลเด็นร้องตะโกนออกมาด้วยโทสะ “พวกแกทำฉิบหายหมดแล้ว”
“ตายจริง” คาร์ราโดสขอโทษขอโพย “ขอโทษด้วยครับ ผมผิดเอง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เป็นสิ” พอลเด็นเปิดประตูพรวดออกมาและประจันหน้ากับผู้ที่มารบกวน “มีแสงเข้ามาในห้องมืดระหว่างทำการทดลองที่ซับซ้อนมันก็ต้องเป็นอยู่แล้ว”
“แต่แสงเข้าไปนิดเดียวนะครับ” คาร์ราโดสยืนยัน
“ให้ตายสิ” พอลเด็นผู้โกรธจัดตะคอก“แค่นั้นก็เกินพอแล้ว นี่คุณรู้จักความแตกต่างของความมืดกับความสว่างหรือเปล่าเนี่ย” นายคาร์ไลล์รู้สึกว่าตัวเองกลั้นหายใจ สงสัยว่าแม็กซ์คิดแผนนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
“ไม่ทราบครับ” การตำหนิตัวเองเสียงอ่อยๆ กึ่งอุทธรณ์ขอความเห็นใจไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง “โชคร้ายที่ผมไม่ทราบ ผมตาบอด ถึงได้ซุ่มซ่ามแบบนี้”
คุณนายพอลเด็นนิ่งเงียบไปด้วยความตกใจ ก่อนหลุดปากร้องอุทานเบาๆ ด้วยความสงสาร เมื่อครู่นี้เธอรังเกียจการกระทำของสามีจนถึงกับพูดไม่ออก ตัวพอลเด็นเองก็รู้สึกเหมือนได้ทำร้ายสัตว์ที่บาดเจ็บทุกข์ทรมานอยู่แล้ว เขาตะกุกตะกักขอโทษ หันไปปิดประตูต้นเหตุแล้วเดินออกมาช้าๆ
“คุณมีธุระอยากจะพบผมหรือครับ” เขาถามอย่างสุภาพ น้ำเสียงจริงจัง “เราเข้าไปในนี้กันดีกว่า” เขาชี้ไปยังห้องรับรองที่สหายทั้งสองไปรออยู่เมื่อสักครู่ แล้วจึงเดินตามเข้าไป ส่วนคุณนายพอลเด็นผู้น่ายกย่องกลับไม่มีทีท่าอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย
คาร์ราโดสเข้าเรื่องทันที
“นี่คุณคาร์ไลล์” เขาชี้ไปยังเพื่อน “เป็นผู้รับผิดชอบคดีวางยาพิษคดีหนึ่งที่ตอนนี้อัยการของรัฐรับช่วงไปทำต่อ ผมอยู่ทางฝ่ายจำเลย ตอนนี้เราทั้งสองฝ่ายมาอยู่ตรงหน้าคุณแล้วครับ คุณพอลเด็น”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” พอลเด็นถามด้วยความสงสัยอย่างชัดแจ้ง
“คุณกำลังทำการทดลองเกี่ยวกับบิวรีน เหยื่อฆาตกรรมรายนี้เสียชีวิตด้วยพิษของบิวรีน คุณจะช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมว่าคุณได้สารหายากตัวนี้มาจากที่ไหน เมื่อไหร่”
“ผมได้…”
“อย่าเพิ่ง เดี๋ยวก่อนครับ คุณพอลเด็น ก่อนที่คุณจะพูดอะไร” คาร์ราโดสยกมือขัดจังหวะ“คุณต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้คิดจะนำคุณมาเกี่ยวโยงกับคดี แต่มีผู้ชายคนหนึ่งถูกจับ และประเด็นสำคัญที่ชี้ตัวเขาก็คือบิวรีนครึ่งออนซ์ ซึ่งคุณไลท์คราฟต์แห่งถนนเทร็นเนียนขายให้ใครคนหนึ่งไปตอนห้าโมงครึ่งในเย็นวันพุธสองสัปดาห์ก่อน ก่อนที่คุณจะพูดสิ่งที่ยากจะกลับคำออกมา คุณควรรู้ไว้ด้วยว่า อย่างไรเสียเราก็จะสืบสวนคดีนี้ก็จะดำเนินการไปจนถึงที่สุด”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมใช้บิวรีน”
“เรื่องนั้น” คาร์ราโดสตอบเลี่ยงๆ “เป็นความลับของคนตาบอดครับ”
“งั้นรึ แล้วคุณบอกว่ามีคนถูกจับเพราะเรื่องนี้”
“ใช่ครับ บางทีคุณอาจจะได้อ่านข่าวเรื่องเห็ดพิษที่เซนต์แอ็บบอตส์แล้วกระมัง”
“ผมไม่สนใจเรื่องไร้สาระในหนังสือพิมพ์ เอาละครับ ผมเองเป็นคนซื้อบิวรีนจากไลท์คราฟต์มาเมื่อบ่ายวันพุธ ผมยอมรับว่าให้ชื่อที่อยู่ปลอมเขาไป ผมมีเหตุผลส่วนตัวที่ทำแบบนั้น”
“แบบนี้ก็เป็นอันว่าถ้อยคำหยาบช้าอย่าง ‘ยัดเยียดข้อหา’ ตกไปแล้วสินะ” นายคาร์ไลล์ที่กำลังจดบันทึกให้ความเห็น “และอาจทำให้คุณเจอปัญหาบางอย่างด้วย คุณพอลเด็น”
“ผมคิดว่าคุณคงไม่ต้องคิดถึงข้อนี้อย่างจริงจังนัก” คาร์ราโดสเอ่ยขึ้นอย่างไม่ต้องการให้เป็นกังวล
“ยังไงพวกเขาก็ต้องหาตัวคนผิดนะครับ” นายคาร์ไลล์ยืนกราน “เลาด์แฮมต้องยกเอาข้อนี้มาอ้างแน่นอน”
“ผมไม่คิดยังงั้น การสืบดำเนินคดีคงจะไปไปในทางว่า เลาด์แฮมโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ไม่ยอมเล่ามาเสียดีๆ ว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน เขาจะต้องถูกอบรมขนานใหญ่ ส่วนไลท์คราฟต์จะถูกปรับในอัตราต่ำสุด แล้วก็จะบอกคุณพอลเด็นว่าอย่าทำแบบนั้นอีก ผมว่านะ”
ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหัวเราะเสียงขื่น
“ผมคงไม่มีโอกาสได้ทำอีกหรอกครับ” เขาบอก “พวกคุณรู้เรื่องนี้มาบ้างหรือเปล่า”
“ไลท์คราฟต์เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับการถ่ายภาพสี ผมเดาเอาว่าคุณคงไม่ค่อยไว้ใจเขา”
พอลเด็นเริ่มเล่าเรื่องโดยใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่าย
“ผมเคยไว้ใจเขา” เขาพูดห้วนๆ “ผมจะบอกอะไรให้นะ เมื่อสักสิบแปดเดือนมาแล้ว ผมกำลังจะค้นพบสิ่งยิ่งใหญ่ในการถ่ายภาพสี ไม่ว่าคุณจะได้ยินมายังไงก็ตาม มันเป็นการค้นพบของผม บิวรีนนี่เป็นตัวกลางในการทดลอง ตอนนั้นผมไม่ได้ระวัง ไม่ได้สงสัยแบบตอนนี้ ผมหาบิวรีนได้ยากมาก แทบจะหาไม่ได้เลยเวลาที่จะใช้ขึ้นมา ก็เลยสั่งให้ไลท์คราฟต์หามาให้ โชคไม่ดีที่ผมกระตือรือร้นจนเผลอเปรยถึงผลลัพธ์ที่ผมคาดหวังกับเซาเฮม ไอ้คนอ่อนแอซึ่งตอนนั้นผมคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เขาเอาบันทึกไปเปรียบเทียบกันดูกับไลท์คราฟต์ สองคนนั่นจับโน่นชนนี่ แล้วไม่นานความลับก็กระจายออกมา
“ถ้าคุณเคยทำการทดลองจนใกล้จะค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ คุณจะรู้ซึ้งถึงรสชาติอันทรมานของความกังวลและการดุด่าตัวเอง นานหลายเดือนที่มันทำท่าว่าจะสำเร็จ แต่ขณะที่ผมทำไม่สำเร็จ คนอื่นก็ไม่สำเร็จด้วยเหมือนกัน ในที่สุดผมก็สามารถประกาศได้อย่างมั่นใจว่ากระบวนการบิวรีนล้มเหลว ผมจึงกลับมาหายใจได้คล่องอีกครั้งหนึ่ง”
“เชื่อว่าคุณคงไม่อยากได้ยินเรื่องมากมายที่คนสมคบคิดกันเพื่อสร้างความสับสนให้ผม ผมทำการทดลองอย่างระมัดระวังที่สุด ก็เลยไปได้ช้า ราวสองสัปดาห์ก่อนผมได้ลิ้มรสความสำเร็จ แต่แล้วมันก็พังไม่เป็นท่า ผมโชคร้ายทำขวดบิวรีนคว่ำ มันกลิ้งหล่นกระจายลงในถาดล้างรูปที่มีสารเคมีตัวอื่น แล้วบิวรีนอันมีค่าก็สูญไปโดยเอากลับคืนมาไม่ได้ การหยุดทำการทดลองในขั้นนั้นไปวันหนึ่ง ก็เท่ากับเสียเวลาไปเดือนหนึ่ง ไลต์คราฟต์เป็นความหวังแหล่งเดียวและคนเดียวที่ผมจะหาบิวรีนมาทดแทนได้ในระยะเวลาสั้นๆ และเป็นการซื้ออย่างเปิดเผย หลังจากประสบการณ์คราวที่แล้วทำให้ผมรู้สึกแย่มาก
“นี่ละครับ ทีนี้คุณก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และผมคิดว่าความจริงทุกอย่างคงจะปรากฏออกมาได้เสียที”
หนึ่งสัปดาห์ภายหลังถูกจับกุม ฟิลิป เลาด์แฮมนั่งรอคอยอยู่กับพี่สาวในห้องรับแขกของฮาเซิลเฮิร์สท์อย่างกระสับกระส่าย เขาเพิ่งถูกปล่อยตัวเมื่อหกชั่วโมงก่อนโดยได้รับชี้แจงอย่างเย็นชาว่าไม่มีหลักฐานพอจะเอาผิดกับเขาได้ เมื่อกลับถึงบ้านก็มีจดหมายจากแม็กซ์ คาร์ราโดส (ซึ่งเป็นชื่อที่เขาคุ้นเคยมากในตอนนี้) รออยู่ รวมทั้งจดหมาย โทรเลขแสดงความยินดีและเห็นอกเห็นใจอีกหลายฉบับ แต่คนที่ทำให้เขาได้รับอิสรภาพนั้นไม่ได้ส่งจดหมายตามธรรมเนียมพวกนี้มา เขาเขียนเพียงแต่ว่าจะมาพบเลาด์แฮมวันนี้ตอนสามทุ่ม ซึ่งเขาหวังว่าเลาด์แฮมและสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านคงจะอยู่กันครบทุกคน
“เขาคงไม่มารับคำขอบคุณแล้วกระมัง” เลาด์แฮมเดา เขาพูดทำลายความเงียบที่กินเวลายาวนานเกินหนึ่งชั่วโมงแล้ว “พรุ่งนี้ผมก็ว่าจะไปหาเขาอยู่แล้ว”
คุณนายดูพรีนตอบรับแบบใจลอย ทั้งคู่แต่งกายด้วยสีดำ และในขณะนั้นต่างกำลังคิดถึงสิ่งเดียวกันว่าตนกำลังอยู่ในความฝัน
“ผมกะว่าพี่คงไม่อยู่ที่นี่ต่อไปหรอกนะพี่ไอรีน” เขาพูดต่อไปเหมือนจะช่วยห้วงเวลาเหล่านั้นทรมานน้อยลง
อย่างน้อยสิ่งที่เขาพูดก็ส่งผลให้คุณนายดูพรีนตื่นจากภวังค์
“แน่นอนจ้ะ” เธอตอบแทบจะทันทีและมองน้องชายตรงๆ “พี่จะอยู่ไปทำไมล่ะ”
“อ้อ ครับ” เขาเห็นด้วย “ผมก็ไม่คิดว่าพี่จะอยู่” แล้วเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น “ขอบคุณสวรรค์”
“เธอจะไม่ออกไปรับเขาแล้วพาเขาเข้ามาข้างในรึ” คุณนายดูพรีนแนะขึ้น “เขาตาบอดนะ”
คาร์ราโดสถือซองหนังเล็กๆ มาด้วย ซึ่งเขายอมให้เลาด์แฮมรับไปพร้อมกับหมวกและถุงมือ เขาได้รู้จักกับคุณนายดูพรีน แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นฟิลิป เลาด์แฮมก็เริ่มบรรยายถึงความซาบซึ้งในบุญคุณที่เขานั่งเตรียมคำพูดมาตลอดครึ่งชั่วโมงนั้น
“คุณคาร์ราโดส คงไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะพยายามขอบคุณสำหรับการทำงานอันล้ำเลิศที่คุณทำให้ผม” เลาด์แฮมเริ่มพูด “และที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมรู้ดีว่าผมเป็นหนี้บุญคุณคุณที่ชื่อคุณนายเกสท์ลิงไม่ถูกพาดพิงถึง คุณรู้ดี พี่สาวผมก็รู้ดี เพราะฉะนั้นคงเราไม่ต้องมานั่งอ้อมค้อมกันอีก เนื่องจากตอนนี้ผมกำลังจะมีรายได้มากพอควรเป็นของตัวเอง ผมจะยุให้คิตตี คุณนายเกสท์ลิงน่ะครับ ขอหย่า เพราะเธอเองก็มีสิทธิ์จะทำได้เต็มที่ และเมื่อทุกอย่างลงตัวเราก็จะแต่งงานกันทันที แล้วพยายามลืมเรื่องราวที่ผ่านมาของทั้งสองฝ่ายให้หมด” เขาเสริมอย่างอายๆ “หวังว่าคุณคงไม่ตำหนิอะไรเรามากมายนักนะครับ”
คาราโดสส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงถ่อมตัว
“ประเด็นเรื่องศีลธรรมจรรยาอยู่นอกเหนือการสืบสวนของผม” คาร์ราโดสตอบ “คุณคงไม่คิดว่าผมแวะมารบกวนคุณในเวลาอย่างนี้เพื่อมารับคำขอบคุณ พอจะนึกออกบ้างไหมครับว่าผมมาทำไม”
สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา และมีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ
“เรายังต้องหาว่าใครเป็นคนวางยาพิษชาร์ลี วินโพล”
เลาด์แฮมจ้องหน้าแขกของตนด้วยใบหน้างงงัน คุณนายดูพรีนเกือบจะหลับตาลง ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ อย่างเจ็บปวด
“ทำแบบนั้นจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา คุณคาร์ราโดส” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงวิงวอน “เราต้องผ่านวันเวลาหนึ่งสัปดาห์อันเจ็บปวดทรมาน หลังจากสัปดาห์แห่งความโศกเศร้าทุกข์ใจ อะไรที่ต้องจัดการเราก็ได้จัดการไปแล้วนี่คะ”
“แต่คุณคงต้องการความยุติธรรมให้หลานชายคุณ ถ้ามันเป็นการฆาตกรรม ใช่ไหมครับ” คุณนายดูพรีนแสดงอาการอ่อนล้า แววตาเธอยอมจำนน เลาด์แฮมจึงตอบคำถามนั้นแทน
“คุณหมายความว่ายังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุของเรื่องนี้อยู่อีกหรือ คุณคาร์ราโดส”
“ช่วยส่งซองหนังให้ผมหน่อยได้ไหม ขอบคุณครับ” คาร์ราโดสเปิดซองแล้วหยิบถุงกระดาษเล็กๆ ออกมา “ทีนี้ก็ขอหนังสือพิมพ์ครับ” เขาเปิดถุงแล้วเทสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา “คุณนายดูพรีน คุณจำได้ไหมครับว่าคุณให้ปากคำไว้ว่า เห็ดที่คุณซื้อมานั้นมันดูแห้งๆ ไปหน่อย มันแห้งจริงๆ เพราะมันถูกเก็บมาตั้งสี่วันแล้ว เห็ดพวกนี้ก็เช่นเดียวกันนั่น ความจริงแล้วเห็ดที่คุณซื้อไปก็ดูเหมือนเห็ดพวกนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ” เธอรับคำ เริ่มมองคาร์ราโดสอย่างสนใจ
“หมอสลาร์กให้ปากคำว่าเห็ดที่มีสารพิษบิวรีน คือเห็ดชนิดที่เรียกกันว่าหมวกดำ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ‘ขวดน้ำหอมของปีศาจ’ จะไม่แสดงลักษณะของมันจนกว่าจะโตเต็มที่ คุณหมอเข้าใจผิดไปอย่างหนึ่งครับ เพราะการทดลองพิสูจน์แล้วว่าเห็ดหมวกดำที่เก็