วิจารณ์ Saving Private Ryan หนึ่งในหนังสงครามที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด

เนื้อความ : สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วครับ วันนี้ผมมีวิจารณ์ภาพยนตร์มาให้อ่านกันอีกแล้ว หลังจากไม่ได้เขียนวิจารณ์มานานตั้งแต่ราวปลายปีที่แล้ว (ปลายปีนี้ถึงมีโอกาสมาเขียนใหม่) เนื่องด้วยภารกิจหลายอย่างครับ ไม่ค่อยว่าง (จริงๆตอนนี้ก็ยังไม่ว่าง แต่อยากเขียนถึงเรื่องนี้มาก เพราะกระแสวิจารณ์รุนแรงดี ทั้งชอบและไม่ชอบ) ครับ ผมได้ไปดู Saving Private Ryan มาเมื่อวันเสาร์ และตั้งใจแต่แรกแล้วว่า ยังไงจะเขียนถึงเรื่องนี้ให้ได้ และกำลังพยายามเขียนอยู่ตอนนี้ ... อนึ่ง ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่า Saving Private Ryan เป็นหนึ่งในหนังทีเขียนวิจารณ์เชิงคุณภาพได้ยากพอตัวครับ แล้วผมก็ไม่ใช่นักวิจารณ์เก่งกาจมาจากที่ไหน แค่เขียนตามมุมมองของผมเท่านั้น ก็สามารถเขียนติชมกันได้ครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ก็คิดเสียว่าเป็นมุมมองจากนิสิตตัวเล็กๆคนหนึ่งก็พอครับ

ปล. ถึงพี่เสือ ผมส่งไฟล์ให้พี่ไม่ทัน เลยเอามาลงที่นี่หมดเลยนะครับ อย่างไรตัดจ้อความไปลงใน E-mag ก็ได้นะครับ
จากคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:02:48]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : หลังจากคุยนอกเรื่องไปหนึ่งย่อหน้าก็มาเข้าเรื่องครับ Saving Private Ryan เป็นหนังที่ผมตั้งใจไปดูมานานมากแล้ว เนื่องจากผมเป็นคนชอบหนังของ Steven Spielberg เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเมื่อดูจากสเกลหนังปลายปีแล้ว หนังเรื่องนี้ ไม่น่ารอดจาก Nominee ของ Best Pictures ของ Oscar ไปได้ จะได้ไม่ได้ ไว้ผมขอดู nominee ทั้งห้าก่อนครับ

แต่อย่างน้อยมันเป็นหนังที่ดูจบแล้วผมอึ้งที่ Steven Spielberg สร้างหนังเรื่องนี้ออกมาได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะครึ่งชั่วโมงแรกที่แสนหดหู่ (ผมถือว่าเป็นหนึ่งในซีนสุดยอดของโลกภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด) แม้ในตัวบทจะมีรอยสะเก็ดเล็กๆให้แกะได้บ้าง แต่ถูกบดบังด้วยงานสร้างไปเสียหมดครับ ถ้าจะให้คะแนนกันจริงๆ สิ่งที่ไม่ได้เต็ม จัดว่าแค่สอบผ่าน ก็คือ "Production" และ "Script" นี่แหละครับ Production ของผมในที่นี้ ได้แก่ การถ่ายทำ การตัดต่อนะครับ (อันนี้ผมค่อนข้างฝืน เพราะคอนทินิวหลุดบ่อยครั้ง ไม่ใช่ช่วงในสงครามนะครับ ผมหมายถึงช่วงปูพื้น,ช่วง Fallng Down ของหนัง)

โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:03:37]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เข้าเรื่องครับ เข้าเรื่อง ถ้านับจากฉากเปิด ผมว่าถ้า Spielberg ไม่คิด "เอาใจคนดู" มากไปหน่อย ด้วยการเปิดฉากที่สุสาน อันเป็นสถานที่ปัจจุบัน แล้วค่อย Flashback เนี่ย ผมว่าหนังจะดูดีขึ้นอีกไม่น้อยเลยครับ (ผมว่ามันเกิน) ซึ่งเทคนิค Flashback แบบนี้ ผมว่ามันค่อนข้างเชย และ เป็นการจำกัดตัวเองในการเล่าเรื่อง ที่เกิดจากมุมมองของคนหนึ่งคนด้วยครับ (อันที่จริง Ryan ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ดีเดย์กับเขาด้วยเลย แต่สามารถเล่าเรื่องวันดีเดย์ได้อย่างละเอียด ... อันนี้ก็น่าแปลก) แต่หลังจากนั้น คนดูก็ถูกตรึงอยู่กับที่นั่ง (ถ้าไม่ลุกออกจากโรงไปเสียก่อน) ด้วย 25 นาที(ตาม Production Notes) ของฉากวัน D-Day ที่จัดได้ว่ายอดเยี่ยมครับ ตรงนี้ผมว่าหนังไม่ได้เน้นให้มันดูเละ ดูเป็นเกม Quake อย่างที่หลายคนเข้าใจนะครับ แต่หนังเน้นไปที่ความสมจริงสมจัง และความสลดหดหู่มากกว่า หนังแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างทหารราบที่เข้าไปรบ กับ นายพลที่คอยบัญชาการอยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน รายละเอียดของ dialogue เล็กๆน้อย แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของทหารแต่ละคน ที่ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า ชีวิตของตนเอง การหลงกลุ่ม สูญเสีย เอาตัวรอด เป็นส่วนที่เน้นย้ำ Theme หลักของหนัง ในเรื่องเกี่ยวกับ คุณค่าของชีวิต (อันเป็นสิ่งที่ Tom Hanks พูดประโยคสุดท้ายนั่นแหละครับ) อย่างเด่นชัด Spielberg นำคนดูเข้าไปสู่ความน่ากลัวของสงครามทีละน้อยๆ กับความสิ้นหวังในตอนแรก หนังค่อยๆเปลี่ยน Rhythm ขึ้น อันเป็นสิ่งที่ Spielberg จับจังหวะคนดูมาได้ตลอด (ถ้าใครอยากดู Rhythm อันเป็นสุดยอดของเขา ผมแนะนำให้ดู Lost World ตอนรถตกหน้าผา นั่นคือฉากเดียวของหนังที่เป็น MasterPiece ครับ) หลังจากฉากที่เห็นหน้า Tom Hanks มองไปรอบๆ และค่อยๆคืบคลานเข้าไปหา Dog-1หนังจึงสร้างความหวังให้กับคนดูเล็กๆนั่นเอง และค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนจบซีนนี้ ด้วยชัยชนะของพันธมิตร สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆในฉากนี้ ได้แก่สิ่งที่ปรากฏเป็น "Signature" อยู่ในหนัง Spielberg ทุกเรื่อง ที่เห็นชัดๆได้แก่ ฉากที่ยิงโดนหมวก แล้วทหารถอดหมวกนั่นแหละครับ เราจะพบจังหวะแบบนี้ได้ตลอดทั้งเรื่องนี้ (คือเป็นการเร้าอารมณ์แบบหดหู่ที่เดาได้ไม่ยากนัก อันเป็นสิ่งที่ Spielberg ชอบทำ) โดยรวมแล้ว นี่คือฉากเปิดที่ทรงพลังที่สุดฉากหนึ่งในฮอลลีวู้ดครับ แต่ก็ยังไม่ใช่ฉากที่ดีที่สุดของหนังครับในแง่ของการกำกับการแสดง (แต่ผมว่าถ้ามองในแง่สเกลงาน นับว่ายิ่งใหญ่มาก)

โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:04:00]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : หลังจากนั้น ทุกซีนถัดมา ตัวหนังยังวนเวียนอยู่กับการพูดถึงคุณค่าของชีวิต โดยเน้นไปที่หน่วยชีวิตเล็กๆมากกว่าที่จะพูดถึงหน่วยใหญ่ๆ 10 นาทีต่อมา หนังแสดงให้เห็น conflict หลัก คือการที่ต้องมีใครสักคนไปตามหา James F. Ryan นั่นแหละครับ ผมว่าหนังอ่อนไปนิดกับการที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ช่วยชีวิต Ryan คนน้อง แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงเสมียนคนหนึ่งเท่านั้น (ที่บังเอิญไปค้นแล้วพบชื่อ Ryan 3 คน) แต่ตรงนี้ไม่ได้ทำให้คนดูส่วนใหญ่ติดใจมากนัก ที่จะมาติดก็ตรงที่นายพลใหญ่อ่าน "ถ้อยแถลงของลินคอล์น" ให้ฟังนั่นแหละครับ ตรงจุดนี้ หนังแสดงให้เห็นความเป็นอเมริกันอย่างชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจ และความเป็น "การเมือง" ของหนังในคราวเดียวกัน เพียงแต่มันปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด อยู่ในช่วงสั้นตรงนี้แค่นั้นเอง "การเมือง" ในหนังช่วงอื่นๆ มีปรากฏให้เห็นอย่างประปราย แต่ในแง่ของการทหาร

ผ่านการเดินเรื่องราวแบบ "ผจญภัย" ตามแบบฉบับของ Spielberg มาเรื่อยๆ จนมาถึงฉากสุดท้าย คนดูจะยิ่งพบกับ "ตำหนิ" ของคาแรกเตอร์อันแปลกแยกของตัวละครมากขึ้นเรื่อยๆครับ แต่หนังพยายามลบล้างข้อเหล่านี้ ด้วยการนำคนดูไปสู่ฉากสุดท้าย ตำหนิที่ผมบอกนั่นคือ ความขัดแย้งแปลกๆที่เกิดขึ้นในตัวละครประกอบแต่ละคนนั่นเองครับ (สังเกตดูได้จาก พลทหารไรเบน และ ฟิชได้) อันนี้ผมคิดว่าน่าจะมาจากการที่บทถูกปรับแก้ จากคนเขียนบทเดิมคือ Robert Rodat มาเป็นคนเขียนบทใหม่ Frank Darabont (ซึ่งไม่ได้เครดิตตรงนี้เลย) ทำให้มีการปรับแก้ไดอะล็อกบางไลน์ จึงดูแปลกๆหน่อยครับ (แต่ถ้าไม่สังเกตจริงๆจะไม่รู้สึกหรอกครับ)

และมาถึงเรื่องราว "ความบังเอิญ" ที่จงใจใส่เพื่อความเป็นดรามาตอนท้าย นั่นคือทหารที่ผู้กองมิลเลอร์ปล่อยไป กลับย้อนรอยมาฆ่า ฟิช และ ผู้กองอย่างเลือดเย็นนั่นเองครับ ตรงนี้หนังโยนคำถามใหญ่ๆใส่คนดูว่า การมีมนุษยธรรมในสงครามเป็นการถูกต้องหรือเปล่า

โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:04:25]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : มาดูส่วนวิเคราะห์กับประเด็นที่น่าสนใจกันบ้าง ข้อหนึ่งเลย คือ ทั้งคาร์พาโซ และ เวด ไม่ได้ตายเพื่อช่วยไรอันเลยนะครับ ลองมาคิดกันดีดี คาร์พาโซตายเพราะช่วยเด็ก (อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง) ส่วนเวดตายเพราะคำสั่ง คนเขียนบทจงใจใส่การตายทั้งสองนี้มาให้เรากลับไปคิดกันเล่นๆว่า จริงๆแล้ว มนุษยธรรม (การช่วยเด็ก) ในสงครามมีความสำคัญแค่ไหน (ดูเหตุผลสนับสนุนได้จากย่อหน้าก่อนหน้านี้)

มาดูการตีความตัวละครกันบ้างครับ ตัวแรกเลย ยอดฮิตครับ เห็นคนด่ากันมากเหลือเกิน สิบโทอัพฮัมครับ หนังเขาจงใจสร้างตัวนี้ให้เป็นแบบนี้เด๊ะเลยครับ การที่คนดูด่าตัวละครตัวนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก สปิลเบิร์กจงใจให้ตัวละครตัวนี้ เป็นตัวแทนคนดู (เหมือนผู้ช่วยนักสืบใน Murder in the Oriental Express) ที่มีความรู้สึกต่อสงครามอย่างที่ควรจะเป็น ลองนึกสภาพตัวคุณเองในสงครามนี้ดูนะครับ คุณอาจจะนั่งกลัวอยู่ตรงบันไดทำอะไรไม่ถูกก็เป็นได้ (อย่าไปด่าเขาเลย) ส่วนผู้กองมิลเลอร์นี่ เขาพยายามสร้างภาพให้เป็นวีรบุรุษสงครามครับ (ซึ่งแท้จริงแล้วก็มีพื้นฐานเป็นคนธรรมดา) มิลเลอร์ค่อนข้างเป็นคนในอุดมคติ แต่ก่อนที่ตัวละครจะเลยเถิดเกินจริง หนังก็สร้างอาการ "มือสั่น" ให้ตัวละครมิลเลอร์ กลับมาเป็นคนปรกติได้อย่างแยบยล (แม้ในบางไดอะล็อกจะดูฉลาดล้ำไปหน่อยก็ตาม) ผมว่าทอม แฮงค์มีสิทธิลุ้นออสการ์อยู่เหมือนกัน .... แต่จะได้ไม่ได้ ก็ต้องดูคู่แข่งก่อนครับ บทพลทหารไรเบน ซึ่งผู้สร้างวางไว้ว่า เป็นคนพูดมาก ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะต้องกระจายบทให้ตัวอื่นด้วย เขาจึงเป็นเพียงตัวแทน "คนเมือง" นิวยอร์คในสงครามคนหนึ่งเท่านั้นครับ ความเป็นคนรักอิสระ และ มีทิฐิสูง ทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นที่น่าจดจำไม่น้อย (จนผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ตอนนี้ตัวละครนี้อยู่ดีมีสุขเป็นอย่างไร) ผิดกับบทจ่า ที่ทอม ไซซ์มอร์เล่นเลยครับ ที่บทดูเหมือนจะมีอะไร แต่โดนรัศมีทอม แฮงค์กลบเสียหมด มาได้เรื่องเอาตอนท้ายๆ (ที่วางแผน) เท่านั้นเอง คาร์พาโซเป็นตัวแทนของ "มนุษยธรรม" ในสงครามครับ ซึ่งไปก่อนเพื่อนเลย ขณะที่เวดเป็นตัวแทนของ "ผู้ช่วยเหลือ" ในสงคราม (ตำแหน่งเสนารักษ์) ซึ่งถูกสงครามทำให้ช่วยคนอื่นไม่ได้ ... ช่วยตัวเองก็ไม่ได้เช่นกัน ฟิชคือทหารลูกครึ่ง ที่เป็นส่วนเติมเต็มให้เห็นว่า คนอเมริกันไปร่วมรบด้วยกันทุกเผ่าพันธุ์ประมาณนั้นครับ (แต่จริงๆตัวละครตัวนี้สะท้อนคำว่า "คนต่างด้าว" ไว้เต็มๆ) และสุดท้าย ฮีโร่ในดวงใจของผม พลทหารแจ๊คสันครับ เขาคือตัวแทนของ "ฮีโร่สงคราม" แบบหนังสมัยเก่าอย่างแท้จริง และสุดท้ายเขาก็แสดงให้เห็นว่า สงครามไม่ได้สร้างฮีโร่ .... นั่นเอง

โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:05:06]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : อ้อ มีอีกอันที่ผมสังเกตได้ครับ ยังจำจดหมายของคาร์พาโซได้ไหมครับ จดหมายมรณะฉบับนั้นนั่นล่ะครับ ผมเพิ่งมาสังเกตว่า ใครถือคนนั้นตายหมด เริ่มจากคาร์พาโซ ให้หมอมาลอก แล้วก็มาถึงผู้กอง (ที่หยิบมาจากศพหมอ) นั่นล่ะครับ ตายเกลี้ยง จริงๆอันนี้เป็น motif อย่างหนึ่งของหนังนะครับ แต่ก็เป็น Gimmick ในคราวเดียวกันด้วย ยังจำ Scream ได้ไหมครับ "ถ้าไม่อยากตาย อย่าเอ่ยถึงครอบครัวให้คนดูได้ยิน" (เพราะมันจะเป็นเมโลดรามา)

มาถึงจุดจับผิดของหนังกันบ้างครับ อย่างที่มีคนเคยนับนั่นล่ะครับ หลังจากคาร์พาโซตาย ตอนที่กำลังจะไปถล่มปืนกล ที่เห็นว่ามีคนเกิน (8 คน) เกินจริงๆครับ คือ ผมเข้าใจว่า ช็อตนั้น ถ่ายไว้ตอนแรกๆเลยครับ แล้วพอดีซีนนี้ Establish Shot ไม่สวย (คือ Shot ต่อมาที่ดอลลี่มาเห็นศพทหาร) เขาก็เลยเลือกตัดเอา Establish ที่มันกว้างๆหน่อย แต่ผลก็คือ ... มีคนเกินมาหนึ่งคนครับ ตาไม่ฝาดกันหรอก

ที่จะลืมไม่ได้คือ ประเด็นยอดฮิต FUBAR ครับ ก็มีหลายๆคนแปลเป็นอังกฤษให้แล้ว F.up beyond อะไรนั่นแหละครับ แรกๆผมกับเพื่อนๆที่ไปชมก็คิดออกทะเลไปเรื่อยกับคำนี้ แต่พอได้ชมรอบสองวันนี้ ก็ถึงบางอ้อว่า มันคือคำว่า "ห่วยแตก" นั่นเองครับ (ประมาณนั้นน่าจะได้)

ประเด็นสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง อันนี้เป็นเรื่องของ Spielberg โดยเฉพาะครับ แต่ผมไม่เห็นมีใครพูดถึงกันเลย นั่นคือ "ยิว" และ "เครื่องบิน" ครับ ประเด็นยิว (Spielberg เป็นยิว เขาแสดงออกอย่างชัดเจนใน Schindler's List ครับ) มีคนกล่าวถึงไปแล้ว แต่เครื่องบินยังไม่เห็นนะครับ นั่นคือ หนังทุกเรื่องของ Spielberg จะต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องบินครับ (เป็น Signature สำคัญของเขา) เท่าที่ผมจำได้ ไม่มีหนังเรื่องไหนของเขาที่ "เครื่องบิน" จะไม่เป็นส่วนประกอบสำคัญเลย เห็นได้ชัดๆจาก Empire of the Sun และ Always ครับ (1941 และ CETK ด้วย) ตอนผมดูเรื่องนี้ทีแรก (ตั้งแต่วินาทีแรก) ไม่เห็นเครื่องบินเลย ก็นึกประหลาดใจอยู่ครับ แต่จนแล้วจนรอด ... เครื่องบินก็มาจนได้ แถมท้ายด้วยคำพูดของผู้กองด้วยว่า เทวดามาช่วยตอนท้ายเสมอ ... น่าน ....
โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:05:36]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : วิจารณ์มาตั้งเยอะมีแต่น้ำทั้งนั้นเลย ก็ขออภัยแล้วกันนะครับ ผมเรื้อวิชาไปนาน ก็เหมือนกับธงชาติอเมริกันเก่าๆตอนหัวกับตอนท้ายเรื่องนั่นแหละครับ .... สีย่อมหม่นหมองไปตามกาลเวลา

ยังเขียนไม่ทันหายสนุกมือ แต่ก็ดันนึกไม่ออกว่าจะพูดถึงประเด็นอะไรอีก (พอดีเว้นช่วงนานไปหน่อยน่ะครับ สองอาทิตย์ถึงกลับมาเขียนต่อจากที่เขียนค้างไว้) ถ้ามีอะไรจะมาเขียนเพิ่มแล้วกันนะครับ ก็ขอสรุปไว้ตรงนี้เลยว่า Saving Private Ryan เป็นงานสร้างของ Spielberg ที่เรียกได้ว่า "สุดยอดแห่งปี 1998" ในระดับหนึ่ง (ในจำนวนหนังสงครามหลายๆเรื่อง) ทั้งในแง่ของความสมจริงสมจัง งานสร้าง การกล่าวถึงความเป็นมนุษย์ และการเน้นย้ำให้เห็น Theme ที่เด่นชัดครับ งานนี้ผมเป็นนักเรียนหนังให้ไป สามดาวครึ่งค่อนดวงเลยครับ
โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:06:00]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ยาวไปหน่อย อ่านก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ขอโทษนะครับ
กำลังสับสนนิดหน่อย
โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:08:56]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : วันก่อนมีพี่มาเล่าว่าไพรเวตเนี่ย
เค้าอ่านเจอสปีลเบิร์กบอกว่าหนังเรื่องนี้คือความไร้สาระครับ
ภารกิจของทอมแฮงค์ที่ไปช่วยไรอั้นเนี่ยเป็นเรื่องไร้สาระ
เพราะสงความคือความไร้สาระของมนุษย์
โดยคุณ : J.C. - [21 ธ.ค. 2541 02:18:28]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งอ่านเจอเรื่องนี้มาเหมือนกัน

ได้ถกเถียงเรื่องนี้กันมาแล้วประมาณหนึ่ง ไว้จะมาเขียนเล่าให้ฟังครับ เป็น sub theme
โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:23:42]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เผลออ่านเข้าไปซะแล้ว ยังไม่ได้ดูเลยอ่ะ....
โดยคุณ : เสือกะบาก - [21 ธ.ค. 2541 02:24:40]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เพระาผมมานั่งคิดว่าทำไมสปีลเบิร์กต้องให้จบแบบเสี่ยวๆขนาดนั้นด้วย
ที่มีครอบครัวมายืนๆ แล้วให้เมียไรอั้นมาบอกว่า "เค้าเป็นคนดีค่ะ" น่ะ
มานึกๆดูก็รู้สึกว่า ถ้าไรอั้นดีจริงๆแล้วคงไม่บอกให้เมียต้องยืนยันหรอกมั้ง
ที่บอกน่ะคล้ายๆจะหลอกๆทอมแฮงก์ในหลุมมากกว่า
ซึ่งก็หลอกคนดูด้วย
นั่นก็คือสิ่งที่ทอมแฮงก์บอกว่า ใช้ชีวิตให้คุ้มแบบต้องเป็นคนดีมันไม่ประสบผลเลยครับ
นั่นทำให้การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเรื่องไร้สาระ
เพราะสงครามคือความไร้สาระที่สุดของมนุษย์
โดยคุณ : J.C. - [21 ธ.ค. 2541 02:24:58]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : อุ๊ย
ขอโทษทีนะครับ
ที่เล่าตอนจบ
ว้า
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
โดยคุณ : J.C. - [21 ธ.ค. 2541 02:26:41]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เป็นสิ่งที่ทุกคนลงความเห็นกันว่า "จบเกิน" ครับ

แต่ข้อคิดเห็นของพี่น่าสนใจมากเลยครับ
แต่ผมว่ายังไงไรอันก็น่าจะเป็นคนดีนะครับ อุตส่าห์มีคนตายเพื่อช่วยเขาตั้งหลายคน แถมครอบครัวก็ดูสุขสบายดี (แต่ดูเหมือนหลานๆเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ว่าจตะมาเยี่ยมหลุมใคร)
โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 02:29:23]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ทหารที่มิลเลอร์ปล่อยไปแล้วกลับมายิงตัวเองนั้น
เป็นคนเดียวกับที่ฆ่าฟิชหรือ

โธ่ ไม่น่าเลย สปิลเบิร์ก


โดยคุณ : lemoned - [21 ธ.ค. 2541 02:37:40]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : มาแล้วแฮะ
กระทู้บรรยากาศคึกคักอย่างนี้


โดยคุณ : มิตรซิ่ง - [21 ธ.ค. 2541 03:05:47]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ผมว่าหนังเรื่องนี้ผิดพลาดในเรื่องมุมมองของผู้เล่าเรื่อง
คือตั้งแต่ต้นจนจบเราจะรู้สึกว่าภาพสงครามทั้งหมดเรามองผ่านสายตาของทอม แฮ้งค์ รวมทั้งหลายตอนสปีลเบอร์กยังพาคนดุเข้าไปอยุ่ในความคิดของมิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นตอนยกพลขึ้นบกที่เสียงอื้ออึงกลับเงียบหายไปในภวังค์ของมิลเลอร์ จนกระทั่งฉากที่ทอม แฮง้ค์จ้องมองไรอันที่กลัวจนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางห่ากระสุน ภาพที่หนังตัดกลับมาสู่สายตาของไรอันตอนแก่แม้จะถูกต้องตามเหตุผลของเรื่องว่าเป็นการรำลึกความหลังของไรอัน แต่มันขัดแย้งกับมุมมองของหนังทั้งเรื่องที่เราดูมาทั้งหมด ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ผมรู้สึกไกล้ชิดและรู้จักตัวตนของไรอันหรือมีความผูกพันด้วย หนังที้งหมดให้ความรู้สึกว่าน่าจะเป็นการมองผ่านสายตาของมิลเลอร์มากกว่า หรือถ้าจะให้ดีก็น่าจะเป็นการมองผ่านอัพฮัมซึ่งเป็นตัวละครที่สะท้อนการซึมซับรับสภาพของสงครามและเรียนรู้พร้อมๆกันไปกับคนดู
นี่แหละครับจุดอ่อนสำคัญของสปีลเบอร์ก พ่อมดหนังที่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้มาปรากฏเป็นภาพต่อสายตาคนดูได้ แต่ก็ตกม้าตายได้ทุกเรื่องกับจุดอันเป็นหัวใจของหนังเช่นนี้ ไม่เช่ือลองกลับไปทบทวนจุด point of view ในหนังเรื่องอื่นๆของเขาสิครับ แล้วคุณจะเข้าใจว่าผมถึงไม่จัดสปีลเบอร์กอยู่ในกลุ่มผู้กำกับชั้นยอดของโลก
โดยคุณ : Limonade - [21 ธ.ค. 2541 03:34:24]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : นี่แหละผมเห็นด้วยกับคุณ Limonade มากๆเลย
ผมดูแล้ววิจารณ์ตามความรู้สึกนะครับ ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ
ไม่แยบยลพอที่จะหลอกผมให้เคลิบเคลิ้มไปได้
ผมว่า Schindler's List ยังทำได้ดีกว่าในความแยบยล
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นหนังดีครับ แต่ยังไม่ประทับใจ
ถ้าเทียบกับหนังสงครามด้วยกันผมว่า Platoon หดหู่ กินใจ ลึกซึ้งกว่าเยอะ
โดยคุณ : Dr,Green - [21 ธ.ค. 2541 04:32:10]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ทู้นี้ยาวจริงๆ เหอๆ
โดยคุณ : jetboat - [21 ธ.ค. 2541 06:17:41]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ผมไม่คิดว่าเรื่อง Saving Private Ryan จะบรรยายถึงสงครามได้realisticอย่างที่นักวิจารณ์
พูดกันนะ มีหลายคนที่ผ่านสงครามมาต่างลงความเห็นว่า หนังที่แสดงถึงการรบช่วงนั้นได้ดี
ีกว่าคือเรื่อง The Longest Day สำหรับผมดูตอนที่รบกันต้นๆเรื่องเหมือน Starship Trooper
คือ น่าขันมากกว่าเหมือนจริง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นแค่การแสดงที่ยอดเยี่ยมของ
Tom Hankเท่านั้น

โดยคุณ : คนดูหนัง - [21 ธ.ค. 2541 06:19:21]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ตายแล้ว คุณคนดูหนัง ถึงขนาด น่าขันเชียวหรือ

Longest day จะดีตรงที่ บรรยากาศดูยิ่งใหญ่น่ะครับ เป็นมุมมองแบบที่จะให้ชาวบ้านทั่วๆไป เห็นเกียรติภูมิของทหาร เวลาโดนยิงก็ไม่มีเลือด เห็นแต่คนล้มลงเท่านั้น ส่วน Ryan เนี่ย เค้ามองสงครามจากมุมมองของทหารที่เข้าไปรบเองครับ ความโหดร้าย ความน่ากลัว สยดสยอง ขนาดนั้นไม่เห็นว่าจะเกินเลยตรงไหนในความเป็นจริง
แค่ตอนฝึกทหารกองเกิน แล้ว โดนให้ลุยฝ่าลวดหนาม แล้วมีกระสุนบินอยู่เหนือหัว ผมก็รู้สึกว่า ภารกิจของหหารเนี่ย ไม่น่าสนุกน่อ (ฝึกทหารกองเกิน โหดกว่า รด.อีก)

ประเด็นนึงที่อยากจะยกมาให้ดูก็คือ มุมมองจากฝั่งเยอรมัน น่าสนใจตรงที่ว่า หนังไม่พยายามให้คนดูรู้อะไรจากฝ่ายเยอรมันเท่าไร เหมือนกับหนังมองอะไรอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ครับ

ฉากแรก ที่ทหารเยอรมัน ยิงปืนกลกราดใส่ สัมพันธมิตร ตายเป็นเบืออย่างเหี้ยมโหด เรามองภาพกลับไปฉากสุดท้าย ฝ่ายอเมริกัน ที่ยึดสะพานไว้ ก็อยู่ในสภาพเดียวกันกับฝ่ายเยอรมันนั่นแหละ ยิงจากที่มั่นใส่ เยอรมันตายเป็นเบืออย่างเหี้ยมโหดพอๆ กัน ไม่ใช่เท่านี้ครับ ยังมีฉากเทียบมุมมอง ระหว่างพลแม่นปืนทั้งสองฝั่งด้วย พลแม่นปืนเยอรมัน สุดท้ายก็จบชีวิต เพราะถูกเค้าส่องจากข้างล่างด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็ฉากล้อเลียนจอห์น วู ที่ทหารสองฝั่ง ยกปืนเล็งเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมลั่นไกคนแรก แต่พยายามตะโกนให้อีกฝั่งวางอาวุธ ซึ่งก็ไม่มีใครยอม มันแสดงให้เห็นว่า ทหารทุกคน กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากฆ่ากันหรอกครับ ที่จำเป็นฆ่ากันก็เพราะต้องการให้ตัวเองอยู่รอดเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนในฉากที่ อัพฮัม เดินสวนกับทหารเยอรมันบนบันได รวมทั้งฉากแย่งมีดกันแทงก่อนหน้านั้นด้วย ที่สื่อให้เห็นว่า ฉันต้องฆ่าแกไม่นั้นฉันก็ต้องโดนแกฆ่า พอฆ่าเสร็จเดินมาเจออัพฮัม ที่ขาสั่นอยู่ตรงบันได ไม่ยอมยิงปืนใส่ทั้งๆที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ มันก็เหมือนบอกว่า ถ้าแกไม่ฆ่าฉัน ฉันก็ไม่ฆ่าแกหรอก อะไรทำนองนั้น

สรุปก็คือ หนังพยายามจะบอกว่า ชีวิตน่ะ มีคุณค่า อย่าให้มันเสียไปกับความไร้สาระของสงคราม ดีกว่า

ปล. ฉากจบ ฟูมฟายเกินเหตุ เหมือน Schindler List ไม่มีผิด สปีลเบอร์ก ตายตอนจบอีกแล้ว ทำไมเวลาผ่านไปตั้ง ห้าสิบปี Ryan ถึงเพิ่งมาคำนับหลุมศพ เฮ้อออ จงใจใส่ฉากนี้เข้าไปให้ดู ดรามา ซะทำให้ความ Realistic ของหนังเสียไปอย่างน่าเสียดาย
โดยคุณ : LittleTiger - [21 ธ.ค. 2541 07:31:25]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : กระทู้นี้ ที่รอคอย
โดยคุณ : แม่มดน้อย - [21 ธ.ค. 2541 08:28:08]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : คำที่แปลว่า "บริบท" ภาษาอังกกฤษว่าอย่างไรครับ?
และทำไมต้องแปลว่าบริบทซึ่งคนดูก็ไม่รู้ว่าคืออะไร?
โดยคุณ : หมองู - [21 ธ.ค. 2541 09:33:05]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เป็นเรื่องที่เข้าดูวันแรกเลยละ รอมานานมาก นึกว่าจะปีหน้าถึงฉาย ดูแล้วความคิดส่วนดัวไม่มีความเสียดายเงินเลย(ทุกทีก็ไม่เคยเสียดายเงินที่ดูหนัง)
ตามความรู้สึหแล้ว คิดว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ มีการเรียบเรียงและสื่ออารมณที่รุ่นแรงแต่ก็กันกรองมาดีมากครับ ก่อนที่ผมจะได้ไปดูเรื่องนี้ เสียงวิจารณน์มา
ค่อนข้างมาแบบรุนแรงมาก บ้างก็บอกว่าดูไม่จบบ้าง เพราะดูแล้วมันรุนแรงบ้าง( เพื่อนผมที่เป็นผู้หญิงขอออกตั้งแต่ 25 นาทีแรกเลยละ)
แต่ส่วนตัวคิดว่าถ่้าอยู่ดูต่อจะรู้ว่าเป็นแค่ฉากปูเรื่องเท่านั้น
ที่ประทับใจที่สุดก็คือ ไม่เคยเห็นหนังสงครามเรื่องใดดูแล้วเห็นความเป็นสงครามได้ขนาดนี้ การตายอย่างกับใบไม้ร่วง ดูแล้วหดหู่มากๆๆๆ
แต่เคยไปพูดกับคนที่เป็ฯทหารจริงๆ เขาบอกว่าเรื่องจริงหนักกว่านี้อีกนะ
บอกให้ดูเรื่องนี้แล้วนำ้ตาไหลเลยในแง่ของการศูญเสียนะ

โดยคุณ : จี - [21 ธ.ค. 2541 10:11:27]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : โอ้โห พวกคุณดูหนังแล้วเจาะลึกกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ นับถือๆ
โดยคุณ : กันสาด - [21 ธ.ค. 2541 10:33:32]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : บริบท = context
โดยคุณ : มิตรซิ่ง - [21 ธ.ค. 2541 10:55:13]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เยี่ยมมากครับ
กดดันได้ดีสำหรับคนที่มีจิตใจไม่กระด้าง
ละเอียดมากไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ฉาก ตัดต่อ SPECIAL EFFECT การคัดเลือกคนแสดง
ส่ง MESSEGE ให้คนดูตลอดเวลา
มีแง่มุมให้คิดไปไหนหลายๆ ทิศทาง
ต้องขอขอบคุณ คุณ SPIELBERG ที่ตั้งใจทำหนังดีๆ มาให้ดูกัน

สงครามเป็นเรื่องของความคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือการเอารัดเอาเปรียบกัน การป้องกันตัว การขยายเผ่าพันธุ์ การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ศาสนา ชาติ เป็นธรรมชาติของสัตว์โลก มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ มันมีเหตุและผล แต่มันไม่ใช่สิ่งที่สวยงาม มีรักก็ต้องมีเกลียด

การดำเนินเรื่องในมุมมองของใครก็ไม่สำคัญ เพราะมันไม่ใช่เหตุการจริง มันเป็นการส่ง MESSEAGE มากกว่า ความสำคัญของ MISSION ครั้งนี้ และความโหดร้ายของสงคราม

อย่าดูกันให้ยาก เขาทำกันให้ดูง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน
ภาพตอนที่คุณแม่ RYAN อยู่ที่บ้านกำลังล้างจานอยู่ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างจนถึงตอนยืนอยู่หน้าประตูล้มลงไปและเห็นรูปลูกชายทั้ง 4 คนยืนกอดคอในชุดทหาร ทำได้สวยและให้อารมณ์มาก

โดยคุณ : แฟนหนัง - [21 ธ.ค. 2541 11:03:43]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : น่าเบื่อ
้พวกเก่งแต่วิจารณ์
อยากให้หนังเป็นอย่างนัั้นอย่างนี้
ตามใจฉัน ไม่สร้างซะเองล่ะ
โดยคุณ : Spielberg - [21 ธ.ค. 2541 11:38:02]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ในกรณี point of view เป็นจริงอย่างที่คุร Limonade พูดนั่นแหละครับ
แต่ถ้าคุณ Limonade ลองนึกดูดีๆ ส่วนใหญ่หนังประเภท เปิดฉากด้วยตัวละครแก่ๆ มองย้อนอดีตกลับไป
... ก็มักจะมีมุมมองของอีกฝ่ายหนึ่งโผล่มาให้เห็นอย่างสม่ำเสมอแหละครับ ตัวอย่างสำคัญเลยคือ TITANIC ซึ่งใช้มุมมองของป้าโรส ... แต่เราเห็นแม้กระทั่งการวางแผนของตัวร้ายด้วยซ้ำ ...

ทั้งนี้ เพราะหนังต้องการสื่อให้คนดูรับได้ง่ายครับ ... จะว่าเป็นจุดอ่อนของหนังฮอลลีวู้ดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้

ผมเคยมองจุดนี้ แล้วลองเขียนบทภาพยนตร์สั้นๆ เร่องหนึ่ง โดยใช้มุมมองจากคนคนเดียวดู
ก็สามารถทำได้ในระดับหนึ่งครับ แต่แน่นอนว่าจะทำให้ดูยากขึ้นเล็กน้อย

แต่ทำไมเราถึงไม่มาคิดว่า หนังใช้มุมมองของ observer's view ล่ะครับ
นั่นคือ เราเป็นบุคคลที่สามที่มองดูเหตุการณ์ครับ ไม่ใช่ เจมส์ ไรอัน เล่าเรื่องให้เราฟัง แต่คนที่เราให้เราฟังคือ "สหรัฐอเมริกา" (จากฉากเปิดและปิด)

ไหนๆก็ไหนๆ ผมขอลองยกตัวอย่างดู จากกรณีมุมมองของคุณ Limonade นะครับ
หากจะหาหนัง "มุมมอง" ที่ใช้ตัวละครเล่าเรื่องแบบ His view/ Her view แล้วล่ะก็ ห้ามพลาด Original ของความคิดแบบนี้ Rashomon ครับ ของคุโรซาวา
แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ลองไปหา Courage Under Fire ของ Edward Zwick มาดูก็ได้นะครับ
ส่วนหนังที่เหมือน Private Ryan คือ เหมือนให้คนดูมองจากมุมตัวละครแต่กลับมีอะไรไม่รู้แถมมาด้วย ยกง่ายๆ ก็ TITANIC นั่นแหละครับ อีกเรื่องคือ .... หนังที่เรเน เซลเวเกอร์เล่น ที่เคยมาฉาย Art House ครับ ผมจำชื่อไม่ได้ .... หนังเกือบดี แต่มาติดตรงกลางๆเรื่องนิดเดียว (เป็นมุมมองแบบคุณ Limonade บอกครับ)

ส่วนในมุมมองของตัวละครที่หนังนำเสนอ ที่ไม่หลุดเลย .... ถ้าจะหาง่ายๆ แล้วได้ใจความ (ดูไม่ยากเกินไป) ด้วย
ผมแนะนำ The Bridges of Madison County ครับ เป็นมุมมองจากผู้หญิงคนเดียว ... ที่ไม่หลุดให้เห็นมุมมมองของคนอื่นในเรื่องเลย
โดยคุณ : Amadeus Chung(king) - [21 ธ.ค. 2541 11:53:17]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : คุณ amadeus chang เคยลองเขียนบทมั๊ย

โดยคุณ : แวะมาถาม - [21 ธ.ค. 2541 11:59:35]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : หนังเรื่องไหนเป็นหนังในดวงใจคุณครับ

โดยคุณ : แวะมาถาม + สงสัย - [21 ธ.ค. 2541 12:03:06]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : หนังเรื่องไหนเป็นหนังในดวงใจของคุณ Amadeus Chang ครับ

โดยคุณ : แวะมาถาม + สงสัย - [21 ธ.ค. 2541 12:04:32]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เอ่อ...อออออ
แป้งขอถามนิดนึงนะคะ
คือว่า แป้งดูซาวน์แทรคอ่ะ
แล้วมีอยู่ตอนนึงที่เค้าไปเจอไรอัน(คนแรก)
เค้าบอกกับไรอันว่า มาบอกข่าวร้ายของบราเธอร์
ตรงเนี้ยะค่ะ ไม่ได้ดูซับไตเติ้ล
ก้อเลยไม่ทราบว่าตอนที่แปลเป็นภาษาไทย
เค้าแปลยังไงคะ
ช่วยตอบแป้งหน่อยน๊าาาาา



โดยคุณ : แป้งร่ำ - [21 ธ.ค. 2541 12:10:31]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ผมไม่เห็นว่าเรื่องนี้พูดถึงสงครามเห็นหลักเลย
จากที่ผมชอบเรื่องสงครามมาก ผมกลับนึกไปถึงเรื่อง มนุษย์มากกว่า



ขออภัยไม่มีโอกาสได้ตอบและแสดงความเห็ฯยาวๆครับ



โดยคุณ : 010 - [21 ธ.ค. 2541 12:34:01]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : ตอนดูจบใหม่ๆผมก็รู้สึกชอบค่อนข้างมากนะครับ
แต่พอหลายวันผ่านไป ก็เริ่มคิดว่า
จริงๆแล้วหนังมันไม่ได้ดีอย่างที่รู้สึกตอนแรก
คือฉากสงครามที่เหมือนจริงมาก
มันกลบข้อเสียอื่นๆไปเสียหมด
จริงๆแล้วผมว่าplotเรื่องนั้นดีมาก
แต่ว่าบทน่าจะทำได้ดีกว่านี้
เพราะตอนที่ได้ดูตัวอย่าง
ผมคิดว่ามันจะเข้มข้นกว่านี้มาก
โดยคุณ : Mickeyben - [21 ธ.ค. 2541 13:03:13]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เหมือนกับว่าเรื่องนี้
เปิดเกิน
ปิดก็เกิน

แต่ชอบมาก
ที่หนังแสดงถึงความสมจริง
ความโหดร้ายของสงครามให้คนดูได้รับรู้

3 ดาวครึ่งเต็ม 4

ป.ล.สงสารผู้บริสุทธิ์ชาวอิรัก
ที่ตายและเจ็บโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
โดยคุณ : Oakyman - [21 ธ.ค. 2541 13:05:57]



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นเพิ่มเติม : เรื่องนี้จะสู้ Schindler's List ไม่ได้ในหลาย ๆ เรื่อง ยกเว้นเรื่องการแสดงของทอมแฮงก์
การเปิดเกินและปิดเกินของหนังสร้างผลเสียพอสมควรในแง่ของอารมณ์ (ดูแล้วรำคาญมากกว่าซึ้ง)

ถ้าพูดถึงความน่ากลัวของสงคราม หนังเรื่องนี้ทำได้แค่ใกล้เคียงความจริงในแง่ของ production แต่เรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ไม่ดีเลย อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทหารโดยตรง ไม่ค่อยมีเรื่องเกี่ยวกับพลเรือนที่เกี่ยวข้องในสงครามให้เห็น ซึ่งคนดูอย่างเรา ๆ น่าจะเข้าใจความรู้สึกของพลเรือนที่ต้องอยู่ท่ามกลางสงครามได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น อิรักกับสหรัฐ ผมก็เห็นภาพข่าว cnn ถ่ายแต่พลเรือนที่ต้องบาดเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล ไม่เห็นเค้าจะไปถ่ายทหารที่บาดเจ็บมาให้ดูเลย คือคนดูข่าวเค้าจะรู้สึกว่าพลเ