ถ้าคุณอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสม่ำเสมอ พักนี้คงเห็นคำว่า "บรรษัทภิบาล (Corporate Governance)" บ่อยขึ้น จำได้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีบริษัทเอกชนทำโฆษณารณรงค์ให้องค์กรธุรกิจปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาล สอบถามดูถึงรู้ว่าสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทยกำลังจัดประกวด "การปฏิบัติอันเป็นเลิศตามหลักบรรษัทภิบาล" ขึ้นเป็นครั้งที่สอง หลังประสบความสำเร็จจากการจัดประกวดครั้งแรกของไทย และของโลกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตัวในเรื่องการกำกับดูแลองค์กรในบ้านเราเท่านั้น แต่ยังมีส่วนให้สังคมโลกรับรู้ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของธุรกิจไทยอีกด้วย
"บรรษัทภิบาล" ไม่ใช่คำแปลกใหม่ในสังคมไทย เพราะตั้งแต่มีผู้เริ่มนำคำว่า "ธรรมาภิบาล (Good Governance)" มาเผยแพร่ก็ได้รับกระแสตอบรับจากสังคมอย่างดี และยิ่งเวลาผ่านไป กระแสเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลสำหรับองค์กรธุรกิจ หรือ "หลักบรรษัทภิบาล" ก็ยิ่งมากขึ้น เพราะพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ทั้งองค์กร สังคม และประเทศชาติได้
หลักบรรษัทภิบาล คือ หลักการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง ด้วยการสร้างกลไกควบคุมการดำเนินงานขององค์กรให้เป็นไปอย่างโปร่งใส และเกิดความเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้น คณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน คู่ค้า ลูกค้า ตลอดจนรับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม หรือถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เป็นจรรยาบรรณของคนทำธุรกิจ ที่ใส่ใจกับหลักคุณธรรมควบคู่ไปกับความอยู่รอดและเติบโตขององค์กรและสังคม
การบริหารธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล ประกอบด้วยหลักการหลายข้อ แต่ละองค์กรแต่ละประเทศก็มีเกณฑ์กำหนดแตกต่างกันไป พอจะสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ คือ
1. ปฏิบัติงานด้วยความตระหนักในหน้าที่อย่างแท้จริง โดยทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
2. กำหนดภารกิจของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนและความไม่โปร่งใสในการทำงาน
3. ปฏิบัติกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม
4. ดำเนินงานอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
5. ทำธุรกิจแบบมองการณ์ไกล คำนึงถึงประโยชน์ระยะยาวมากกว่าการกอบโกยกำไรเฉพาะหน้า และ
6. ส่งเสริมให้การปฏิบัติงานทุกด้านมุ่งสู่ความเป็นเลิศ
องค์กรที่จะปฏิบัติตามหลักการบรรษัทภิบาลให้ประสบผลสำเร็จนั้น กรรมการบริษัทมีบทบาทอย่างมากในการชี้นำและผลักดัน คือ นอกจากตนเองจะต้องมีความรู้ความสามารถ เป็นผู้ชี้ทิศทางการดำเนินงาน และกำหนดเป้าหมายขององค์กรแล้ว ยังต้องสร้างระบบตรวจสอบฝ่ายบริหารให้ปฏิบัติงานอย่างสุจริต มีการประเมินและแก้ไขข้อบกพร่องในการทำงานสม่ำเสมอ ให้รางวัลแก่ผู้มีคุณความดีและลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎระเบียบ และที่สำคัญคณะกรรมการบริษัทจะต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่าง โดยปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส เป็นธรรม และมีความรับผิดชอบ
ในยุคสมัยที่การดำเนินธุรกิจต้องติดต่อกับนานาประเทศ การปฏิบัติตามหลักบรรษัทภิบาลถือเป็นโอกาสอันดี ที่องค์กรธุรกิจจะได้ยกระดับตนเองสู่มาตรฐานโลก ซึ่งหมายถึงประโยชน์อย่างน้อยสามประการ คือ นักลงทุนจะเกิดความเชื่อมั่น ทำให้การระดมทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทจะหาพันธมิตรทางธุรกิจได้ง่ายขึ้น เพราะทุกคนล้วนต้องการร่วมงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างโปร่งใส และประการสุดท้ายเมื่อบริษัทมีพร้อมทั้งเงินทุนและพันธมิตร ก็จะมีขีดความสามารถสูงในการแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก