ชีวิตที่ท้าทาย ภายใต้แรงกดดัน ขจร เจียรวนนท์
หลังจาก จบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจจาก Fairleigh Dickinson University รัฐนิวเจอร์ซีย์ "ขจร เจียรวนนท์" ต้องเผชิญ กับแรงกดดัน ครั้งแรกในชีวิต เพราะเขา แทบไม่รู้มาก่อนว่า นามสกุล "เจียรวนนท์" ที่พ่วงท้ายอยู่ มันต้องทำให้เขาต้องพิสูจน์ตัวเอง มากมายถึงเพียงนี้!!!
ในปี 2533 "ขจร" กลับมาจากสหรัฐอเมริกา เขาเริ่มพิสูจน์ตัวเอง ด้วยการไปสมัครงาน กับบริษัทเอกชน หลายแห่ง ที่อยู่นอกเครือ เจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)ก่อน
แต่แล้วเขา ก็เริ่มรับรู้ว่า นามสกุล "เจียรวนนท์" กลับทำให้เขา ถูกปฏิเสธงาน ที่อยากทำมาก ที่สุด ในขณะนั้น
"ตอนนั้นผม ไม่อยากทำงาน บริษัทในเครือ คือ เราอยากพิสูจน์ตัวเอง ผมชอบด้าน เรียลเอสเตท เบอร์หนึ่ง ตอนนั้น คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เราก็อยากทำมาก ก็ไปสมัคร พอเขาเห็นนามสกุลแปลกๆ ของผมเข้า เขาก็ตอบปฏิเสธ ตอนแรกคิดว่า เราอาจจะมีคุณสมบัติไม่ถึง ผมก็ไปสมัคร อีกหลายบริษัท ไม่มีใคร ยอมรับผม เข้าทำงานเลย ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า การที่เรามียี่ห้อ เจียรวนนท์ติดตัว มันกดดัน ลูกหลาน มากพอสมควร"
"ขจร" บอกว่า น้องสาวของเขา ก็หางานทำไม่ได้เหมือนกัน จนต้องไปทำงาน กับสามี เพราะจะเข้า มาทำงาน ในเครือก็ไม่ได้ นอกเครือ เขาก็ไม่รับ
"เมื่อก่อน น้องสาว ผมก็ไปสมัครงาน กับร้านแมคโดนัลด์ แต่ก็ถูกปฏิเสธ ผมคิดว่า คุณเดช (เจ้าของแมคโดนัลด์) อาจจะคิดว่า เราจะไปซื้อกิจการ ของเขา หรือเปล่าวะ" "ขจร" กล่าวติดตลก
พอหางาน ทำไม่ได้ "ขจร" ก็ต้องกลับไปพึ่งบารมีพ่อ เขากล่าวว่า ตอนนั้น ต้องกลับไปฟ้องพ่อ
"ผมบอกพ่อว่า ผมหางานทำไม่ได้ พ่อจะให้ผมทำอะไร?" พอดีมีคุณอา เริ่มทำสนามกอล์ฟ (ดาร์กอนฮิลล์) กับสวนเกษตร ที่จังหวัดราชบุรี ก็เลยถูกส่งไปทำงาน ที่นั่น 4-5 ปี
"ต้องเริ่มตั้งแต่ เข้าไปพัฒนาที่ดินหมื่นกว่าไร่ ที่ทุรกันดารมาก สมัยก่อนแถวนั้น ปลูกกัญชา ชาวบ้านกลัว ก็ไม่กล้าเข้าไปทำงาน หาคนงานก็ยาก ผมต้องเข้าไปสร้าง กระท่อมไม้ไผ่ หลังคามุงจาก ช่วงนั้นไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาก็ไม่มี"
จากนั้น "ขจร" จึงมาทำงาน กับบริษัท 84 จำกัด โดยมีแนวคิดว่า อยากพัฒนาเมืองใหม่ บนที่ดินหลายหมื่นไร่ ตามความฝัน ของตัวเอง โครงการนี้เริ่มต้น เมื่อประมาณปี 2538 พอปี 2540 เจอวิกฤติ ก็ต้องล้มเลิกโครงการไป
หลังเกิดวิกฤติเมื่อปี 2540 ชื่อของ "ขจร เจียรวนนท์" ปรากฏเป็นข่าว บนหน้าหนังสือ พิมพ์ธุรกิจ หลายฉบับ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ กองทุนพาวิลเลี่ยน ซึ่งเป็นบริษัท ร่วมทุนระหว่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ กับกลุ่มโคลล์ จากเท็กซัส
ชื่อของบริษัทนี้ดังขึ้นมา ก็เพราะมีชื่อ "จอร์จ บุช" อดีตประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้ขจรเล่าให้ฟังว่า มันเป็นเรื่อง ตกกระไดพลอยโจน
"ตอนนั้น ซีพีมีแผนจะพัฒนา ที่ดินที่เมืองจีน พอดีท่านประธาน (ธนินท์) ไปอเมริกา ไปเจอ "จอร์จ บุช" นักธุรกิจ ของเรากับ ของเขาเจอกัน เราก็ถามเขาว่า อยากจะพัฒนาที่ดิน แบบไฮเทค ช่วยแนะนำ ให้หน่อย
เขาก็ให้ชื่อ "โคลล์" มา เราก็เลย ไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเขา พอดีช่วงปี 2540 บ้านเราเกิดวิกฤติ ผมก็เลย เสนอท่านประธานธนินท์ว่า "วิกฤติ" มันเป็น "โอกาส" นะ ตอนนั้น ราคาที่ดินถูก ผมอยากเอาที่ดิน มาพัฒนาให้เร็ว ผมเลยเสนอว่า แทนที่เราจะนั่งพัฒนา ผมจะใช้วิธี ซื้อทั้งโปรเจคดีกว่า พอผมบอกว่า อยากทำโปรเจคนี้ ท่านประธาน (ธนินท์) ก็บอกว่าไม่เอา! คำแรก ที่ตอบผมคือ "ไม่ได้" ท่านบอกว่า เมื่อวานเพิ่งให้นโยบายว่า เราจะขายกิจการ ที่เป็น Non Core Business (ไม่ใช่ธุรกิจหลัก) ออก วันนี้ นายขจร เจียรวนนท์ กล้าดียังไง มาเสนอ ขอเปิดบริษัทใหม่"
"ท่านประธาน" สั่งเด็ดขาดว่า ไม่ให้ทำ แต่หลานหัวดื้อคนนี้ กลับต่อรองไปอีกว่า
"เอาอย่างนี้อาแปะ ผมจะไม่ใช้เงิน ของอาแปะเลยซักบาทเดียวโอเค.มั้ย! แต่ผมขอใช้ชื่อเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ท่านก็บอกว่า ถ้าลื้อทำได้ ก็ทำไปซิ!"
"ขจร" จึงดึงเอาโคลล์ เข้ามาร่วมทุน โดยที่ตัวเอง ไม่มีเงินร่วมทุน ซักแดง โดยบอกกับโคลล์ว่า
"ไอ Know Who แต่ยู Know How เอามั้ย!... ผมจะช่วยคุณเต็มที่ เพราะผมรู้จักคนเยอะ แต่ผมไม่มีเงินนะ"
"ขจร" บอกว่า โดยตรรกะแล้ว ถ้าเราเอาเงินดอลลาร์ ที่แข็งมา ซื้อที่ดินราคาถูก ถ้าเศรษฐกิจดีปุ๊บ! จะกำไร 2-3 เท่า ทันที ไอเดียนี้โคลล์ก็ "เก็ต" ด้วย แต่เมื่อเข้ามาเมืองไทย ได้ปีกว่า กลับหาซื้อที่ดินไม่ได้เลย ซักแปลง เนื่องจากคนไทย ไม่ขายเพราะทำใจ ไม่ได้ ฝรั่งก็บอกว่า ถ้าราคาไม่ต่ำจริง เขาก็ไม่ซื้อ
พอ ปรส.เกิด "ขจร" เลยเสนอโคลล์ว่า ปรส.มีที่ดินเยอะ รับรองว่าคราวนี้ไม่พลาดแน่! พอจะไปประมูล ก็ได้รับคำชี้แจงจาก ปรส.ว่า "เรามีหนี้เอ็นพีแอล ขายนะคุณสนใจมั้ย!"
"ผมก็มานึกว่า แล้วผมจะบริหาร ยังไงกันวะนี่...เราบริหารหนี้ไม่เป็น โคลล์ก็บอกว่า ถ้างั้นเขารู้จัก บริษัทบริหารหนี้ที่ใหญ่ ที่สุดในโลก เลยดึงเข้า มาร่วมด้วย"
ผลการประมูลหนี้เอ็นพีแอลของ ปรส. ทางกลุ่มได้มาประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการซื้อ ในราคา 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของมูลหนี้ แต่ส่วนใหญ่ ผู้ที่เข้าไปซื้อสินทรัพย์ของ ปรส.จะ "เจ๊งเละ" แทบทุกราย ผู้ที่ "ฟันกำไร" ได้มีเฉพาะ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
สรุปว่างานนี้เจ้าสัวธนินท์ คิดถูกที่ไม่เอาด้วย ส่วนนายขจร จ๋อยสนิท ตามระเบียบ
"ขจร" บอกว่า การที่ใครๆ จะเสนอโครงการอะไรกับท่านประธานสักอย่าง ก็เหมือนกับ ฝ่าด่านวัดเส้าหลิน คือ ต้องผ่าน หลายด่านมาก ดังนั้น กว่าที่คน ในตระกูล จะได้รับโอกาส อะไรซักอย่าง ต้องพิสูจน์ตัวเอง กันสุดๆ เส้นทางการโต ของลูกหลานในเครือ จึงไม่ได้โรย ไปด้วยกลีบกุหลาบ อย่างที่คนภายนอกเข้าใจกัน
"ไม่มีใครรู้หรอกว่า การเป็นเจียรวนนท์ มันกดดันมากแค่ไหน" "ขจร" บอกถึงความรู้สึก
"หลายคน พอบอกว่า เป็นเจียรวนนท์ปุ๊บ! มักจะร้องว่าโอ้โห! จริงๆ แล้วนามสกุล นี้มันมีคนจับตา มองเราเยอะมาก และก็มีคน คาดหวังเราเยอะด้วย มันทำให้พวกเรา รู้สึกว่ากดดัน"
ต้องยอมรับว่า ความกดดัน เหล่านี้ส่วนหนึ่ง มาจากสายตา และมันสมอง ที่ชาญฉลาดของ "ท่านประธาน" ซึ่งมุ่งที่จะสร้าง "มือ อาชีพ" ขึ้นมาในองค์กร ขยายอาณาจักร ให้ยิ่งใหญ่และ มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป
เจ้าสัวธนินท์ เคยกล่าวไว้ว่า การจะเอาลูกหลาน ไปทำงานในบริษัท ที่ประสบความสำเร็จแล้ว ถือว่าไม่เป็นประโยชน์ เพราะมีคนเก่งอยู่ที่นั่นแล้ว การส่งลูกหลาน เข้าไปจึงเสียทุกประตู ควรสนับสนุน ให้ไปทำธุรกิจใหม่ ลูกหลาน ก็จะได้ภูมิใจ และซีพี ยังสามารถ สร้างอาณาจักรเพิ่มได้อีก "จริงๆ มันมีสุภาษิตของจีนบอกว่า รุ่นที่ 1 เป็นคนสร้าง รุ่นคุณพ่อทำให้เติบโต พอรุ่นที่ 3 ทำให้เจ๊ง ทีนี้รุ่นที่ 2 ของเราฉลาด เพราะเขารู้ว่ารุ่นที่ 3 เกิดมาสบาย เกิดมาก็รวยแล้ว และมีการศึกษาสูง เขาทำงานกันแทบตาย วันดีคืนดี ลูกหลาน มาจากไหนก็ไม่รู้ เมื่อวานเพิ่งเตะก้นเล่นอยู่เลย วันนี้มาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้ว คนเก่า ที่เขาร่วมสร้างกันมา เขาก็จะหมดกำลังใจ ถ้าบางคนรับได้ คือ อะไรก็ครับๆ หมด! บริษัทก็อาจจะเจ๊งได้"
"ด้วยเหตุนี้ "เจียรวนนท์" รุ่นที่ 3 จึงต้องไปบุกเบิก หรือทำงาน ในบริษัทที่ไม่ใช่ ของเครือ ตนเองก่อน เมื่อทำงานดี ถึงจะมีโอกาส เลื่อนขึ้นมา แต่ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง จากบริษัทเล็กๆ จากข้างล่าง ขึ้นมา และต้องมีความสามารถเท่านั้น จึงจะขึ้นมาบริหาร กิจการขนาดใหญ่ ของเครือได้
ดังจะเห็นว่า แม้แต่ลูกๆ ของธนินท์เอง ก็ไม่มีใคร ที่ได้ทำงาน ในบริษัท ที่ประสบผลสำเร็จแล้ว วรรณี ลูกสาวคนโต และทิพาภรณ์ ลูกสาวคนเล็ก ออกไปทำธุรกิจส่วนตัว กับสามี ณรงค์ ไปดูแลธุรกิจค้าปลีก "โลตัส" ที่เมืองจีน สุภกิต เป็นประธานเทเลคอมโฮลดิ้ง (ทีเอช) และยูบีซี ส่วน ศุภชัย เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่เทเลคอมเอเซีย (ทีเอ) ไม่มีใคร ได้เข้าไปนั่งบริหาร ในธุรกิจการเกษตร ที่เป็นรากฐานหลัก ของเครือ เลยแม้แต่คนเดียว
"การเรียนรู้ธุรกิจ ของเครือ ลูกหลานไม่มีทาง เรียนรู้หมดหรอกครับ! เพราะว่าเครือเรามี 600 กว่าบริษัท แค่ไปเยี่ยม บริษัทละ 1 วันก็เกือบ 2 ปี ถึงจะหมด พวกเรา จึงต้องรับผิดชอบ ในสิ่งที่แต่ละคนถนัด"
จุดหักเหของชีวิต "ขจร" เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ภายหลังได้ยินเสียง กริ่งโทรศัพท์ ดังขึ้น จากท่านประธานธนินท์ "ฮัลโหล!ขจร อาแปะมีงานให้ทำ!!!"
ตัวเขาเอง ก็ยังคิดว่าฟลุ้ค! เพราะการที่คน ในตระกูลจะได้รับ โอกาสดีๆ เช่นนี้ไม่ใช่ของง่าย
"ผมก็รับปากว่า ครับๆ เดี๋ยวผมจะไป" พอไปถึงท่าน ก็บอกว่ามาทำงาน กับอาแปะมีให้เลือก 2 แบบนะ คือ อยากทำงานเข้า 8 โมงเช้าเลิก 5 โมงเย็น ทำงานสบายๆ มั้ย! หรือว่าจะทำงานเหนื่อยหน่อย ต้องฟังอาแปะพูดทุกอย่าง แล้วงานสำคัญกว่า ความสุขส่วนตัว มีให้เลือก 2 อย่าง ลื้อจะเลือกอย่างไหน! ผมก็บอกว่า...ขอเวลาตัดสินใจ 1 วันนะอาแปะ" แล้วก็กลับบ้าน ไปถามภรรยาว่า "นก" เอายังไงดี! อาแปะพูดมาอย่างนี้!
แฟนผมบอกว่า ขจร คุณไม่ต้องคิดมาก เลือกแบบที่ 2 เลย ผมก็บอกว่า ถ้างั้นต่อไปนี้ ความสุขส่วนตัว และความสุขของครอบครัว จะน้อยกว่างานนะ คุณคิดให้ดีก่อนนะ นกเขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร เลือกไปเลย แบบที่ 2"
งานที่ได้รับมอบหมาย จาก "ท่านประธาน" ก็คือ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทนิลุบล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ในเครือเทเลคอมโฮลดิ้ง (บริษัทลูกของทีเออีกทอดหนึ่ง) "ขจร" ต้องรับผิดชอบพนักงาน ในสังกัดประมาณ 170 คน และทำหน้าที่บริหาร ที่ดินในเครือ ทั้งหมดกว่า 8 หมื่นไร่ ทั่วประเทศ ซึ่งเขาถือว่า เป็นงาน ที่มีเกียรติมาก สำหรับเขา
ตอนที่เข้ามาดูบริษัทนิลุบล ซึ่งเป็นบริษัท พัฒนาที่ดิน "ขจร" จัดสัมมนา ให้พนักงานเล่นเกม เพื่อให้ทุกคน เป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน แต่วิธีการจ้างคน เขาจะเลือกจ้างแต่คนเก่งๆ มาร่วมงาน จ่ายเงินให้คุ้มค่า และไม่ต้องการ จ้างคนเกินงาน
เจ้าสัวน้อยผู้นี้บอกว่า "ผมต้องการองค์กร ที่เล็ก แต่มีประสิทธิภาพ และเชี่ยวชาญ เฉพาะด้าน ผมถือคติว่า จะศึกษาอะไร? ต้องศึกษาให้แน่น"
แต่กระนั้นเรื่องบางเรื่อง ก็อยู่นอกเหนือ สิ่งที่จับต้องได้ ทุกวันนี้ขจร ต้องมีซินแส 2-3 คนอยู่เคียงข้างเสมอ ทั้งๆ ที่บอกว่า ตอนแรก ก็ไม่เคยเชื่อ เรื่องฮวงจุ้ยเลย
"งานของผม ต้องดีลกับฮวงจุ้ยมากที่สุด เวลาผมจะไปซื้อที่ดิน ไปเช่าตึก หรือจัดห้อง ให้ผู้บริหาร ต้องถามซินแสหมด บางทีผมเสียเวลาเป็นเดือนๆ ให้ลูกน้อง ไปศึกษาข้อมูล พอท่านประธานมาดู ท่านถามซินแส คำเดียวว่า "เยส" หรือ "โน"....ตอนหลังผมแก้เกมใหม่ พาซินแสไปดูก่อน!"
หลังจาก "ขจร" ได้เข้ามาทำงาน ในบริษัทนิลุบล เขาสั่งรื้อระบบงาน ของบริษัทใหม่เกือบทั้งหมด นำเอาเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในการเก็บข้อมูล ที่ดิน ถ่ายภาพดิจิทัล ที่ดินทุกแปลง เก็บเอาไว้
"เรามีที่ดินเยอะมาก ผมอยากจะ "Centralize" หรือรวบรวม เข้าสู่ระบบส่วนกลาง เพราะเมื่อก่อน บริษัทแต่ละแห่ง ดูแลกันเอง เฉพาะที่ดิน ในเขตกรุงเทพมหานคร ทุก 2 ตารางกิโลเมตร จะต้องมีที่ดิน ของซีพี ที่ดินพวกนี้ต่อไป ต้องนำมาใช้ ให้เกิดประโยชน์" ความฝัน ของ "ขจร" ก็คือ เขาอยากสร้างตึกไฮเทค มานานแล้ว
"ตอนนี้ที่ถนนบางนา-ตราด กม.8 เรามีที่ดิน 14 ไร่ ผมอยากจะทำศูนย์กลาง บริหารของเครือ และเป็นพิพิธภัณฑ์ ของตระกูลเรา ที่มีประวัติเก่าแก่ถึง 80 ปี
ชั้นล่างจะทำร้านขายสินค้า ทำเป็น Mini CP Center จะดึงบริษัท ในเครืออลิอันซ์ ซีพี เซเว่นอีเลฟเว่น เชสเตอร์กริลล์ ทีเอ ออเร้นจ์ และร้านรีเทลช็อป ของเครือเข้ามาเช่า พื้นที่
ตอนนี้กำลังคุย รายละเอียดกันอยู่ ถ้าเราเซต ค่าเช่าเรียบร้อย ก็คงจะรู้ว่า จะต้องสร้างด้วย งบประมาณเท่าไร? ผมอยาก ทำให้ดูไฮเทค เป็นอาคารที่สูง ไม่เกิน 10 กว่าชั้น แบ่งเป็นอาคารสูง และอาคารแนวราบ ตอนที่ผมศึกษาเมืองใหม่ ผมก็อยาก จะได้เตี้ยอยู่แล้ว"
นอกจากนี้ "ขจร" ยังได้รับความไว้วางใจ จาก "ท่านประธาน" ให้เข้าไปบริหาร กิจการรถเช่าของเครือ โดยมอบตำแหน่ง ให้เป็นกรรมการ ผู้จัดการบริษัท ดับเบิ้ลยู เซเว่น เรนท์ทัล เซอร์วิสเซส จำกัด บริหารรถยนต์เช่า ภายในเครือกว่า 3 พันคัน
"ผมชอบเรื่องรถ ในเครือเรา ไม่มีใครชอบเลย สมัยก่อน ตอนผมแข่งรถโกคาร์ท ชอบแงะเครื่องออกมาดู ก็เลย ได้รับมอบหมาย ให้มาดูเรื่องนี้ จริงๆ เรามีรถยนต์ ในเครือทั้งหมดเกือบๆ 1 หมื่นคัน แต่ยังติดสัญญาเช่า กับบริษัทนอกเครือ ผมเสนอ ท่านประธานว่า ต่อไป ถ้าหมดสัญญา ต้องมาเช่า กับเราทั้งหมด โจทย์ของผม ก็คือ ต้องทำให้ต้นทุนต่ำ และเกิดประสิทธิภาพ สูงสุด ต่อไป ผมอาจจะไปต่อรอง กับโตโยต้าว่า ผมจะซื้อรถ 2 พันคัน เราก็จะซื้อได้ ราคาถูกลง ซื้อยาง ก็ซื้อได้ถูก เพราะเรามีช่างดูแล เวลารถเสีย เราก็มีรถสำรองให้ขับ รถชนเรา ก็จะมีประกันให้ ซึ่งบริษัทประกัน ก็เป็นบริษัทในเครือ "อลิอันซ์ ซีพี" ซึ่งผม เป็นกรรมการอยู่ ทุกอย่าง จะได้เกื้อหนุนกัน อู่ซ่อมรถเรา ไม่ชำนาญ ก็ให้ซับรับไป แต่ต้องมีช่างเก่งๆ มาชี้ให้ ออกมาว่า รถเสียตรงไหน ถ้าไม่งั้น โดนโกงอะไหล่เจ๊ง หมด"
"ขจร" บอกว่าบริษัทนี้ตั้งมา 12 ปีแล้ว พอตนเข้ามา ก็เปลี่ยนระบบใหม่หมด เช่นกัน
"ตอนนี้เรามีรถให้เช่าประมาณ 3 พันคัน แต่มีพนักงาน ทั้งหมดแค่ 40 กว่าคน หลักการ ของผม คือ จะใช้คนน้อย แต่จะเลือกคนเก่ง มาทำงาน ให้เงินเดือน เขาเยอะหน่อย และดูแล เขาให้ดี"
ปัจจุบัน "ขจร" ยังได้รับความไว้วางใจ ให้เข้ามามีบทบาท ภายในเครือมากขึ้น โดยเป็นกรรมการในบริษัทอลิอันซ์ ซีพี บริษัทประกันของเครือ และเป็นกรรมการ ในบริษัททีเอ ออเร้นจ์
ในวัย 35 ปี "ขจร เจียรวนนท์" จึงได้พิสูจน์ตัวเอง มาแล้วในระดับหนึ่ง ในฐานะ "มืออาชีพ" ของเครือ ไม่ใช่ในฐานะ "ลูกเจ้าสัว" ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ... แต่เส้นทางชีวิต ของเจ้าสัวน้อย ผู้นี้ยังคงโลดโผน และท้าทายต่อไป
ดังคำกล่าว ของเขาที่ว่า "ผมขับโกคาร์ทมาตั้งแต่ อายุ 8 ขวบ ไปอยู่อเมริกา ก็ชอบแข่งรถตลอด จนทุกวันนี้ เสาร์-อาทิตย์ ถ้ามีเวลาว่าง ก็จะไปหลังซีคอนฯ ไปขับรถโกคาร์ทเล่นกับลูก คือ ผมชอบความท้าทาย"...และชีวิตผม ก็คงขาดมันไปไม่ได้!
Ref: http://www.nationejobs.com/content/w....asp?conno=369