สิ่งที่เราควรยินดี

ดังนั้น เมื่อเราเห็นใครทำความดี เราจะต้องยินดีต่อเขาจริงๆ ยินดีในความดีของเขาจริงๆ ชื่นชมด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราจะได้คุณค่าอย่างที่เขาได้ทันที ก็ในเมื่อในเมืองเรา ประเทศเรา โลกเรา มีคนทำความดีเยอะแยะ ทั้งความดีในระดับทำบุญทำกุศล บรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอริยะก็เยอะแยะแล้ว หรือคนไปถวายสังฆทานก็มีเป็นประจำทุกวัน อุทิศส่วนกุศลกันทุกวัน หรือคนทำความดีในระดับช่วยสังคมก็มีทุกวัน NGO องค์กรต่างๆ ที่ทำเพื่อประโยชน์ของสังคมก็มีทุกวัน จิตใจของคนเหล่านี้ก็แผ่กระจายออกไปอยู่ในบรรยากาศมากมายมหาศาล ถ้าเราเพียงแค่นึกถึงคนเหล่านี้แล้วยินดีกับเขา เราก็จะชื่นชมแล้วได้สิ่งที่ดีๆ จากการกระทำของทุกคนทุกฝ่าย
อนุสสติมาตรฐาน

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ให้นึกถึงและอนุโมทนายินดีในสิ่งประเสริฐเข้าไว้ คือ

พุทธานุสติ ให้นึกถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้าไว้นะ
ธรรมานุสติ ให้นึกถึงหลักธรรมไว้นะ
สังฆานุสติ ให้นึกถึงพระสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติได้แล้วไว้นะ
จาคานุสติ ให้นึกถึงการสละของเราของคนอื่นไว้นะ
เทวตานุสติ คือธรรมะที่ทำให้คนเป็นเทวดา สภาวะดีๆ ที่ทำให้คนได้เป็นเทวดา
สีลานุสติ ให้นึกถึงการประพฤติดี ประพฤติชอบ ของคนทั้งหลายไว้

ทันทีที่เรานึกถึงสิ่งดีๆ เหล่านี้แล้วก็อนุโมทนายินดีกับเขา ใจของเราจะดูดซับคุณค่าของสภาวะนั้นทันที

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราอิจฉาล่ะ เธอนะทำความดีล้ำหน้าฉัน คอยดูฉันจะทำมั่ง เธอไม่ได้ดีอะไรเท่าไหร่หรอก ถ้าเราไปอิจฉาหรือกระแนะกระแหนเขาทำนองนั้น แสดงว่าใจอยู่ต่ำกว่าสภาวะนั้นทันทีเลย

สมมติว่า คุณรวยมีเงินหนึ่งล้านบาท แล้วมีเพื่อนคุณบอกว่า โธ่! ทำเป็นรวยไปได้กะอีแค่เงินหนึ่งล้านบาท อย่าให้ฉันมีบ้างก็แล้วกัน คนเช่นนี้เขาจะได้อะไรจากสิ่งเหล่านั้นบ้าง 1) ใจเขาต่ำกว่าสภาวะเงินหนึ่งล้าน เงินหนึ่งล้านมันยิ่งใหญ่กว่าใจเขา 2) เขากระแนะกระแหน แสดงความไม่จริงใจออกมาจะได้รับการสนองตอบอย่างไร คิดกันเอาเอง

อย่างน้อย ความรู้สึกที่มีต่อกันมันไม่ดีแล้วใช่ไหม เพราะความจริงใจไม่มี แต่ถ้าเพื่อนอีกคนบอกว่ายินดีด้วยนะครับ คุณได้เงินมาด้วยปัญญา ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความฉลาดของคุณจริงๆ คุณเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้อื่นนะ ผมอยากจะยกย่องคุณให้เป็นแบบอย่างให้กับอนุชนรุ่นต่อๆ ไป ยินดีด้วยครับ ยินดีด้วยความจริงใจ คนเช่นนี้จะได้รับการสนองตอบอย่างไร

ทันทีที่เรายินดีกับความดีของคนอื่น 1) ใจเราจะอยู่ในระดับนั้นหรือสูงกว่า 2) เราจะได้ดูดซับคามสุขอย่างที่เขาได้ด้วย 3) เราจะได้เรียนรู้กลไกของความสำเร็จจากเขา 4) เขาก็จะเอื้อเฟื้อกับเราโดยธรรมชาติ

เมื่อมีคนอุทิศส่วนกุศลบอกบุญเราแล้ว ฉันไปทำบุญมานะ ถ้าเราทำเป็นไม่สนใจ อีกหน่อยเขาก็ไม่บอกเรา แต่ถ้าเขาบอกแล้วเราอนุโมทนาด้วยยินดีด้วยจริงๆ เขาก็จะบอกเราเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะความดีในระดับโลก ในระดับธรรมหรือในระดับใดๆ ก็ตาม เราจึงควรยินดีกับความดีของคนอื่น ซึ่งหมายถึงการอนุโมทนาส่วนกุศลนั้นเอง เขาจะยอมรับเราเพราะเขาคิดว่าเราเข้าใจเขา เห็นถึงส่วนดีของเขา เขาก็จะหันส่วนดีๆ ของเขามาหาเรา

นี่คือในส่วนของอนุโมทนาส่วนกุศล

บุญแห่งปัญญาเที่ยงตรง

เรื่องต่อไปที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ก็คือ การทำความเห็นให้ตรงสัจจะ ซึ่งเป็นประการสุดท้ายและเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะเป็นเรื่องของปัญญา เป็นการปรับวิถีชีวิตเข้าสู่เป้าหมาย เป็นการสร้างประโยน์สูงสุดแก่ชีวิต

ทำได้อย่างไร

ประการแรกเลย จะต้องมีปัญญาเห็นให้ตรงกับสัจจะจริงๆ ความเห็นของมนุษย์จำนวนมาทีเดียวที่อาจจะไม่ตรงกับสัจจะจริงๆ เป็นเพียงความเห็นแบบหลอนๆ หลอกๆ

ความเห็นขั้นต้น

ความเห็นมีอยู่หลายระดับด้วยกัน อย่างเราเห็นด้วยตา มันไม่ค่อยตรงกับสัจจะจริงๆ ท่านลองสังเกตเวลาเราอยู่กลางถนน ถนนที่อยู่รอบๆ ตัวเรากว้าง แต่พอมองไปสุดสายตาถนนนั้นเล็กนิดเดียว แล้วถามว่า จริงๆ ถนนมันเล็กอย่างที่เห็นไหม มันไม่เล็กอย่างที่ตาเห็น มันใหญ่เท่ากันเสมอ แต่ตาเราเห็นไม่ตรงความจริง เห็นด้วยตาก็เห็นได้แต่ไม่ตรง

ความเห็นขั้นกลาง

เห็นระดับที่สอง เกิดจากการเอาข้อมูลที่ได้มาประกอบกันเป็นความคิดตามโครงสร้างของเหตุผล เกิดจินตนาการต่อเนื่องเห็นเป็นมโนภาพ เห็นด้วยจินตภาพขึ้นมา อันนี้ก็คือความเห็นอีกแบบหนึ่ง ความเห็นระดับที่สองนี้กว้างไกลกว่าความเห็นด้วยตานอก แต่ความเห็นระดับนี้ก็อาจจะบิดเบือนได้เพราะว่ามนุษย์สามารถหาเหตุผลเข้า ข้างตัวเองได้เสมอ ความคิดของมนุษย์หรือเหตุผลของมนุษย์แต่ละคนเอง จึงเชื่อถือไม่ได้โดยทันทีว่าจะเป็นจริงสูงสุดหรือคือสัจจะแท้ๆ เพราะมันมีข้อจำกัดด้วยข้อมูลบางออย่างเขาไม่รู้หรือเขาอาจจะคิดไม่ได้ และมีข้อจำกัดด้วยทักษะในการใช้เหตุผล ถ้าเขาไม่ชำนาญในระบบเหตุผล เขาอาจจะคำนึงถึงเหตุผลบางอย่างไม่รอบคอบไม่ละเอียดเพียงพอ แล้วยังมีข้อจำกัดด้วยการกระชากลากจูงไปของความอยากและไม่อยาก อะไรที่ไม่อยากความคิดก็ไม่ค่อยจะไปทางนั้น มันจะถูกดึงไปทางที่อยากทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่จริงก็ได้ หรือจริงแต่อาจจะไม่เกิดประโยชน์สูงสุดก็ได้ ดังนั้น การเห็นในระดับที่สองคือเห็นด้วยความคิดนั้นมันก็เห็นอยู่ แต่สิ่งที่เห็นอยู่อาจจะไม่จริง มันยังเชื่อถือไม่ได้ แม้จะได้ประโยชน์อยู่ระดับหนึ่ง

ความเห็นขั้นสูง

จึงมีความเห็นระดับที่สาม พระพุทธเจข้าบอกว่า ไหนๆ การเห็นทั้งหมดจะต้องใช้จิตเห็น ดังนั้น ทำไมเราไม่รวมจิตให้เป็นหนึ่งให้เป็นเอกภาพแล้วใช้จิตเห็นโดยตรงโดยไม่ต้อง ผ่านตา โดยไม่ต้องผ่านความคิด ไม่ต้องผ่านข้อมูล อยากรู้อะไรก็เอาจิตส่องรู้โดยตรง สัมผัสโดยตรง ตรงนี้เองที่เกิดจากการฝึกสมาธิ ทำให้เกิดญาณทัศนะใช้สมาธิจิตไปรู้สึกต่างๆ ให้ตรงความเป็นจริงซึ่งมีประสิทธิภาพเที่ยงตรงกว่าความเห็นทั้งสองระดับแรก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เป็นสมาธิย่อมรู้ทุกสิ่งตามเป็นจริง

นั่นหมายความว่า การเห็นด้วยสมาธิจิตนั้นมีคุณภาพคือ 1) รู้ทุกสิ่งด้วย 2) รู้ตามความเป็นจริงด้วย

พอรู้ตรงตามความเป็นจริง ข้อมูลเท็จ ข้อมูลบิดเบือน ข้อมูลหลอก ความรู้เทียม ความรู้เท็จทั้งหลายจะไม่เกิด มันจะเกิดแต่ความรู้แท้ๆ ตัวอย่างง่ายๆ ที่เปรียบเทียบให้เห็น ถ้าเราดูด้วยตาเราจะเห็นว่านั้นคือนาย ก นี่คือนาย ข แต่พอดูด้วยความคิด นาย ก อาจจะไม่ใช่นาย ก นะ นาย ก ไม่ใช่ตัวกายอย่างนี้แล้ว นาย ก เป็นองค์ประกอบเล็กๆ คืออวัยวะจากเนื้อเยื่อแห่งเซลล์ นั่นเห็นด้วยความคิด แต่พอเห็นด้วยปัญญาเห็นด้วยญาณทัศนะ มองนาย ก ไม่มี นี่มีแต่ความว่างเปล่า พอลอกออกไปเรื่อยๆ ไม่เหลืออะไรเลย มันมีแต่ความว่างเปล่า เหมือนเราลอกกาบกล้วย ลอกเรื่อยๆ ไม่เหลืออะไร มันมีแต่ความว่างเปล่า สิ่งที่มันมาประกอบกันกลายเป็นการปรุงชั่วคราวเท่านั้น

ดังนั้น พอเรามองเห็นด้วยปัญญา เราก็จะมองเห็นตนโดยความไม่เป็นตน เห็นทุกอย่างโดยความเป็นของว่างเปล่า นี่เป็นความจริงที่ลึกที่สุด เห็นด้วยความคิดก็ลึกแต่ยังไม่สุดเท่ากับเห็นด้วยปัญญาญาณ

ดังนั้น ประการแรกเลยก็คือ จะต้องทำความเห็นให้ตรงกับความเป็นจริง

ประการที่สอง จะต้องทำความตั้งใจให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุด คนจำนวนมากทีเดียวทำงานไป ใช้ชีวิตไป ประสบความสำเร็จทางโลกมากมาย แต่ในที่สุดก็ยังสงสัยในชีวิต ต้องถามตัวเองว่าแล้วชีวิตฉันได้อะไร บางทียิ่งใหญ่มากแต่ก็เจ็บป่วยอยู่โรงพยาบาล บางทียิ่งใหญ่แล้วก็ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง สูญเสียเกียรติยศมาก บางคนร่ำรวยแล้วก็เกิดล้มละลาย หรือร่ำรวยแล้วแต่ไม่มีเกียรติเมียด่าทุกวัน หรือยิ่งใหญ่มากแต่ปกครองลูกไม่ได้ อะไรทำนองนี้ เกิดคำถามต่อตัวเองขึ้นมาว่า เราทำไปทั้งหลายนี้แล้วมันได้อะไร มันคุ้มไหมกับการใช้ชีวิตทั้งชีวิตถมเขาไปเพื่อสิ่งเหล่านี้

อะไรล่ะคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต หลายต่อหลายคนจะมีคำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อะไรล่ะคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต

จากการสังเกตธรรมชาติเราพบว่าธรรมชาติทั้งหลายมีพัฒนาการไต่ไปตามระดับ วิวัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตก็ตาม อย่างเช่น วัตถุสิ่งของ เราจะเห็นได้ว่าคาร์บอนขณะที่มันเริ่มเกิดใหม่ๆ มันไม่ค่อยสะอาด มันจะผสมเสี้ยนแร่เศษแร่อื่นๆ เยอะแยะไปหมด ดำเขรอะไปหมด แต่พอเราปล่อยมันไว้ตามธรรมชาตินานๆ มันก็กลั่นตัวมันเองไปเรื่อยๆ ในขณะที่มันกลั่นตัวมันเองมันจะขจัดเสี้ยนแร่อื่นๆ ออก แล้วมันจะชำระตัวมันเองจนกระทั้งสะอาดหมดจด เป็นคาร์บอนที่สมบูรณ์จริงๆ คือเนื้อในมันละเอียดมีแต่เนื้อคาร์บอนล้วนๆ เรียนกว่าคาร์บอนอันบริสุทธิ์ มันกลายเป็นเพชร มีคุณสมบัติสูงสุดของคาร์บอนทั้งหลาย คือแข็งแกร่งมาก มีแสงประกายออกมา ถ้ายิ่งเจียระไนเป็นเหลี่ยมเงาก็ยิ่งมีประกายจ้าออกมา นั้นคือ เพชร และหลังจากนั้นไม่ปรากฎว่ามันมีพัฒนาการใดอีกเลย

คนเราก็เช่นกัน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็เช่นกัน เรากำลังไต่ระดับวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ จนไปถึงความบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าบุคคลที่ถึงความบริสุทธิ์แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ควรทำยิ่งกว่านี้อีกไม่มี

หมายความว่า หมดแล้ว มันถึงที่สุดของวิวัฒนาการแล้ว ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของทุกชีวิตไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็คือความบริสุทธิ์ ทุกคนกำลังไต่ระดับวิวัฒนาการไปสู่ความบริสุทธิ์ทั้งสิ้น

ถ้าใครรู้ เขาก็เห็นเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็สามารถปรับวิถีชีวิตให้ตรงเป้าหมายสูงสุด ได้ พอปรับวิถีชีวิตให้ตรงเป้าหมายสูงสุด มีหนทางอันตรงที่สุดก็จะถึงเป้าหมายเร็วที่สุด

คนที่ไม่เห็นเป้าหมายก็ต้องคลำหาไป...

แต่คนเห็นเป้าหมายชีวิตแล้วไม่ปรับวิถีชีวิตให้ตรงเป้าหมายก็ต้องเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ตกร่องตกรู แล้วปีนขึ้นมาใหม่อย่างนี้เรื่อยๆ ฉะนั้น เราจะต้องทำความเห็นให้ตรง คือปรับวิถีชีวิตให้ตรงเป้าหมายให้ได้

กว่าจะไปถึงที่สุดของเป้าหมายคือความบริสุทธิ์ได้จะต้องผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านแรงกดดัน ผ่านปัญหา ผ่านอะไรสารพัดอย่าง

ประการที่สาม ท่านจะต้องทำความเห็นให้ตรงกับประโยชน์สูงสุด ในทุกย่างก้าวเราสามารถจะสร้างประโยชน์สูงสุดได้ถ้าเราตั้งใจ ถ้าเรารอบคอบ ถ้าเราคำนึงถึงเป้าหมายของเราอยู่เสมอ อย่างเช่นในการทำงานแต่ละอย่าง

การทำบุญในงานและการทำงานให้เป็นบุญ

ท่านสามารถทำงานให้เป็นบุญได้เลยหรือทำบุญในงานได้เลย

ทำบุญในงานที่ทำได้อย่างไร?
ทานทำได้ในงาน
ศีลก็ทำได้
สติ สมาธิ ภาวนา ต้องทำอยู่แล้ว
การขวนขวายในกิจผู้อื่นต้องทำอยู่แล้ว
คนที่จะเจริญในงานต้องประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่อยู่แล้ว
การฟังธรรมของเราก็มีโอกาสที่จะฟังธรรมได้ แม้ในขณะทำงาน การเรียนรู้จากของจริง เรียนรู้จากคำสอนคำแนะนำของคนอื่น
การแสดงธรรม การสอนสัจจะให้แก่ผู้ร่วมงาน ให้แก่ใครก็ตาม นั่นก็เป็นบุญ
การอุทิศส่วนกุศล เมื่อมีความดีความชอบใดๆ ก็เอื้อเฟื้อเจือจานให้แก่ผู้ร่วมงาน
การอนุโมทนาส่วนกุศล เพื่อนคนไหนดีก็ยกย่องชมเชย
การทำความเห็นให้ตรง นี่ก็ทำได้ในวิสัยของความเป็นพุทธ

เห็นไหม ในทุกอาชีพสามารถทำงานให้เป็นบุญได้ ทำบุญในงานก็ได้

ถ้าท่านฉลาดที่จะดำเนินชีวิต ท่านสามารถจะทำงานให้เป็นบุญได้ แม้แต่อาชีพธุรกิจ การที่ท่านทำอาชีพธุรกิจท่านต้องหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาที่จะสนองความต้องการของเพื่อนมนุษย์ที่จะช่วยทำให้ชีวิตของเขาสะดวก สบายมากขึ้น เพื่อให้เขาจะได้มีเวลาพัฒนาตนมากขึ้น เมื่อท่านคิดอย่างนี้ท่านก็ได้บุญแล้ว งานท่านเป็นบุญแล้ว ท่านจะแนะนำสิ่งดีๆ ใหม่ๆ ให้แก่เขาหรือท่านจะสร้างงานสร้างเงินให้แก่เขาเพื่อให้ชีวิตของเขาได้สลายใน ขั้นพื้นฐาน นี่ก็เป็นบุญอีกแล้ว

ทุกท่านสามารถทำบุญในงานให้ครบทั้ง 10 ประการอย่างที่กล่าวมาในทุกอาชีพ ในทุกการงาน ท่านสามารถทำงานในบุญหรือทำบุญในงานได้ตลอดเวลา

ถ้าท่านทำเช่นนี้ ท่านจะได้ประโยชน์สูงสุดทุกย่างก้าวของชีวิต ไม่จำเป็นเลยที่ท่านจะต้องไปต่อสู้เอารัดเอาเปรียบกันหน้าดำคร่ำเครียดเพื่อ ที่จะหาเงินมา พอหาเงินมาได้เยอะๆ รู้สึกมีความผิดบาปตราติดอยู่ในดวงใจ จะต้องหาทางไปทำบุญ หาทางไปช่วยสังคมเพื่อไถ่บาปตัวเอง ทำอย่างนั้นมันก็ไม่คุ้มค่า

ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ท่านจะต้องไปเจ็บปวดก่อนแล้วไปคลายความเจ็บปวดนั้น ถ้าอย่างนั้นชีวิตมันจะทุกข์ซ้ำซากไม่รู้จบ ท่านสามารถเป็นสุขไปด้วยแม้ในขณะทำงานเลย เพียงแต่ทำงานด้วยบุญ แล้วทำบุญให้ครบถ้วน

ต่อไปนี้ ไม่ว่าท่านจะทำหน้าที่อะไร เป็นเกษตรกร เป็นนักธุรกิจ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นแพทย์ เป็นนักบวช เป็นนักการเมือง ท่านลองคิดเพื่อประโยชน์สุขของสังคม นั้นเป็นการขวนขวายเพื่อกิจของผู้อื่น นั่นเป็นบุญแล้ว งานของท่านก็จะเป็นบุญไปด้วยในขณะเดียวกัน แล้วพยายามใส่จิตแห่งบุญเข้าไปในงานให้ครบถ้าวนท่านก็จะทำงานอย่างมีความสุข องค์กรของท่านก็จะมีความสุข กิจการของท่านก็จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


องค์กรแห่งบุญ

เคยทำวิจัยองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุดและยั่งยืนล้วนเป็นองค์กร ที่มีจรรยาบรรณสูงมาก ส่นองค์กรที่มีจรรยาบรรณต่ำจะไม่ยั่งยืน หรืออยู่ได้ก็ไม่เจริญเติบโต เต็มไปด้วยปัญหามากมาย

นั่นคือ การทำความเห็นให้ตรงสามระดับ คือ
ระดับแรก จะต้องทำความเห็นให้ตรงสัจจะ ให้ลึกที่สุด ให้ถึงแก่นสัจจะ
ระดับที่สอง จะต้องทำความเห็นให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ ความบริสุทธิ์
ระดับที่สาม คือ จะต้องทำความเห็นให้ตรงกับประโยชน์สูงสุดในทุกย่างก้าว ทุกภารกิจของชีวิต

ถ้าท่านทำได้เช่นนี้ ชีวิตของท่านไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว บุญทั้งหลายที่ท่านทำนั้นจะก่อให้เกิดความสำเร็จในทุกระดับของชีวิตทั้งทาง โลกและทางธรรม

บุญแบบสมบูรณ์

เมื่อทราบแล้วว่าโครงสร้างของบุญที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จมีมากมายหลาย ระดับ หลายแง่มุม และหลากหลายมาก ดังนั้น ถ้าท่านอยากจะประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ท่านควรจะทำบุญในทุกๆ ด้าน

ทุกวันนี้เวลาเราพูดกันถึงเรื่องทำบุญทีไร คนมักจะนึกถึงการให้ทาน การไปใส่บาตร ไปถวายของพระ นั่นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของบุญเท่านั้น นอกจากให้ทานแล้วเราต้องรักษาศีล ต้องภาวนา ต้องประพฤติอ่อนน้อม ต้องขวนขวายในกิจผู้อื่น ต้องฟังธรรม ต้องแสดงธรรม ต้องอุทิศส่วนกุศล ต้องเผื่อแผ่ความดีความชอบในผลงานให้ผู้อื่น ต้องอนุโมทนาหรือยินดีในความดีของผู้อื่น แล้วต้องทำความเห็นให้ตรงด้วย ถ้าเราทำครบถ้วนเราจะประสบความสำเร็จรอบด้าน

แต่ถ้าเราไห้ทานอย่างเดียว เรารวย แต่ถ้าไม่มีศีลเลยก็ไม่หล่อไม่สวย เอาไหม รวยแต่ขี้เหร่เอาไหม?

หรือทำแต่ศีลอย่างเดียว เคร่งครัดในศีลมาก แต่ไม่เจริญภาวนาเลย ก็หล่อมากสวยมาก รูปร่างก็ดี สมาร์ทมาดแมน สวยก็สวยหวานหยาดเยิ้มเลย แต่โง่เพราะไม่ได้ภาวนา เอาไหม ท่านคงไม่อยากเป็นคนหล่อคนสวยที่โง่ที่ถูกใครหลอกเอาง่ายๆ

หรือถ้าหล่อสวยและภาวนาแล้วฉลาดปราดเปรื่องมาก แต่ท่านเป็นคนกระด้างกระเดื่องมาก ท่านก็จะเกิดอยู่ในตระกูลต่ำ อยู่ในสังคมต่ำๆ แต่ถ้าท่านประพฤติอ่อนน้อมด้วย ท่านก็จะเกิดในตระกูลสูง หรือแม้เกิดมาแล้วในตระกูลใดก็ตาม ถ้าท่านเริ่มประพฤติอ่อนน้อมเดี๋ยวนี้ ท่านจะยกระดับชีวิตของท่านไปสู่ระดับสังคมชั้นสูงๆ ยิ่งขึ้น

บุญไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอชาติหน้าเลย ท่านทำเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น อย่างเช่น ท่านเจริญสติ เจริญสมาธิ จนกระทั่งเกิดมีปัญญาแก่กล้าท่านก็จะได้ความสุขทันที โครงสร้างชีวิตและจิตใจของท่านจะเปลี่ยน สุขภาพจะเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยนหมดเลย

หรือท่านประพฤติอ่อนน้อม ไม่ว่าท่านจะเกิดในตระกูลอย่างไรท่านก็จะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นสู่สังคมชั้นสูงได้โดยลำดับ เหมือนนักการเมือง ก่อนที่จะไปเป็นผู้นำของประเทศได้จะต้องอ่อนน้อม ประพฤติอ่อนน้อมจึงก้าวไปสู่ระดับสูงของสังคมได้
ดังนั้นทุกคนควรทำบุญให้ครบทุกอย่างทั้ง 10 ประการคือ

ประการแรก บุญเกิดจากการให้ทาน หมั่นให้เนืองๆ ซึ่งจะส่งผลให้เราเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก

ประการที่สอง บุญเกิดจากการหมั่นรักษาศีลให้เคร่งครัดโดยลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้เรามีสุขภาพดี ชีวิตมีสวัสดิภาพและสวยงาม

ประการที่สาม บุญเกิดจากการภาวนา จงหมั่นภาวนาอยู่เสมอทุกวันๆ เจริญสติ ฝึกสมาธิอยู่ทุกขณะ อย่าให้ขาด ซึ่งจะส่งผลให้เราเป็นคนมีพลังอำนาจในตนและมีสติปัญญาล้ำลึก

ประการที่สี่ บุญเกิดจากการประพฤติอ่อนน้อมแก่ผู้ที่ควรอ่อนน้อมคือผู้ประเสริฐ ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจ และผู้มีใจบริสุทธิ์ทั้งหลาย เราจะต้องประพฤติอ่อนน้อมอยู่เสมอ ซึ่งจะส่งผลให้เราเป็นที่รักที่เมตตา และอยู่ในสังคมอันสูง

ประการที่ห้า บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจของผู้อื่น ใครก็ตามที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาตามสมควรแก่ฐานะ และตามโอกาสให้ได้วัตถุประสงค์คือ ทุกคนดีขึ้นจริงๆ ซึ่งจะส่งผลให้เรามีบริวารมาก มีคนอาสาช่วยกิจการงานมาก ยามเดือดร้อนมีคนยื่นมือมาช่วย

ประการที่หก บุญเกิดจากการฟังธรรม จงศึกษาสัจจะอยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเทปหรือฟังเทศน์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นการศึกษาสัจจะ ที่จะให้เราเห็นแง่มุมของสัจจะครบถ้วนขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้วิสัยทัศน์ของเรากว้างขวางล้ำลึกถูกต้องยิ่งขึ้น

ประการที่เจ็ด บุญเกิดจากการแสดงธรรม เมื่อรู้อะไรแล้วใครที่เขายังด้อยกว่าเรา เราก็แนะนำสั่งสอนตักเตือนเขาด้วยใจเมตตาด้วยใจปรารถนาดีจริงๆ เป็นการแสดงธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เราแตกฉานและมั่นคงในความดีงามยิ่งขึ้น ถ้าเรายังไม่มีธรรมะมากนักก็อาจซื้อหนังสือธรรมะหรือเทปธรรมะไปแจกก็ได้

ประการที่แปด บุญเกิดจากการอุทิศบุญ เมื่อทำความดีใดๆ แล้ว ก็หมั่นเผื่อแผ่ความดีให้แก่คนอื่น เจือจานความดีและความชอบในผลงานให้แก่คนอื่น อย่าไปหวงความดี อย่าไปติดดี ซึ่งจะส่งผลให้จิตใจเราสะอาดและอิสระยิ่งใหญ่ขึ้น

ประการที่เก้า บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนกุศล เมื่อใครเขาทำความดีแล้วเราหมั่นยินดีในความดีของเขา ชื่นชมยินดี สรรเสริญยกย่องเขา จะทำให้จิตใจเราสูงส่งยิ่งขึ้น สะอาดหมดจด ไม่อิจฉาริษยา ซึ่งจะส่งผลให้เรามีมิตรมาก มีความสัมพันธ์อันมั่นคง

ประการที่สิบ บุญเกิดจากการทำความเห็นให้ตรงสัจจะ คือทำปัญญาให้ตรงกับสัจจะอันล้ำลึกแทงตลอด ทำปัญญาให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิตและของทุกสิ่งของขบวนการวิวัฒนาการ แล้วทำปัญญาให้เห็นประโยชน์สูงสุด ปรับวิถีชีวิต ทำกิจการงานทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่ายไป ทุกขณะคือทำบุญในงาน แล้วทำงานให้เป็นบุญโดยลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริงทุกระดับและนำปัญญามาใช้ให้เกิด ประโยชน์แก่ชีวิตได้จริง

บุญทุกประการที่กล่าวมาแล้วจักชำระจิตใจ ทำให้ชีวิตเราหมดจดมากขึ้น
เมื่อบริสุทธิ์มากขึ้น พลังอำนาจอันเป็นฐานแห่งความสำเร็จก็ยิ่งใหญ่ขึ้น

ดังนั้น ถ้าทำได้อย่างนี้ ท่านจะประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆ ด้าน ไม่ใช่ด้านใดด้านเดียว ซึ่งเป็นชีวิตแบบอย่างเลยทีเดียว

และความบริสุทธิ์สมบูรณ์คือที่สุดของวิวัฒนาการ และนั่นเป็นที่นัดหมายนิรันดรของพวกเรา...

อานุภาพแห่งบุญฤทธิ์

การที่เราจะประสบความสำเร็จได้ด้วยบุญ นั่นหมายความว่าเราประสบความสำเร็จได้ด้วยอำนาจแห่งความบริสุทธิ์

บุญ คือความบริสุทธิ์ บุญเป็นผลของการชำระ
ขบวนการบุญ ก็คือขบวนการชำระ ชำระแล้วก็บริสุทธิ์
พอ บริสุทธิ์ แล้วก็มี อำนาจแห่งความสำเร็จ ก็คือมี ฤทธิ์
ซึ่งเราเรียกรวมว่า บุญฤทธิ์

*****************************************************************