ควิกลีนุกซ์เป็นแมกกาซีนเล่มเดียวที่ได้เข้าทำการสัมภาษณ์พิเศษกับการมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกของ สตีฟ แมคไวร์เตอร์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรดแฮท การมาเยือนครั้งนี้แน่นอนว่าจะต้องมีนัยสำคัญอะไรบางอย่างแฝงอยู่มากกว่าการเดินทางมาเปิด RedHat Academy Program กับทางมหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือว่าการมาครั้งนี้เรดแฮทมีโครงการที่จะเปิดสำนักงานในไทย ถ้าคุณอ่านบทสัมภาษณ์นี้จนจบคุณจะได้รับคำตอบอย่างที่คุณสงสัย
สาเหตุที่เดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้
เนื่องจากพรุ่งนี้จะมีการประกาศความเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างเรดแฮท และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเป็นความร่วมมือในการเปิดตัว RedHat Academy Program ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยในเรื่องของการเรียนการสอนเกี่ยวกับการใช้งานด้านโอเพ่นซอร์สของเรดแฮท โดยนักศึกษาที่จบมาสามารถจะมีคุณสมบัติในระดับที่เป็นที่ยอมรับ และเอื้อประโยชน์ต่อวิชาชีพต่อไป
โปรแกรมดังกล่าว รวมถึงการสอบ Certification ของเรดแฮทด้วยหรือไม่
รวมด้วย แต่สำหรับตอนนี้ จะครอบคลุมระดับต้นเท่านั้น คือ certify technician
ธุรกิจของ RedHat ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ก่อนอื่นคงต้องแจ้งก่อนว่า เราจะไม่แยกผลการดำเนินงานออกเป็นภูมิภาค แต่ผมสามารถบอกได้ว่าเราทำอะไรบ้างในเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งบอกได้ว่าในไตรมาสที่ผ่านมามีคนที่ลงทะเบียนเพื่อใช้เรดแฮทมากถึง 144,000 คน ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลยทีเดียว และถ้าอยากรู้ตัวเลขของเอเชียก็จะอยู่ที่ประมาณ 12-16 %
ธุรกิจหลักของ RedHat คืออะไร
อย่างแรกผมอยากให้คุณคิดตามผมไปด้วยว่า รายได้ทั้งหมดของเรดแฮทนั้นมาจากการลงทะเบียน (Subscription) ทั้งนี้เนื่องจากพวกผลิตภัณฑ์และแพคเกจส่วนใหญ่จะฟรี ดังนั้นสิ่งที่เรดแฮท ทำจึงเรียกได้ว่าเป็นการขายการบริการ หรือขาย support นั่นเอง เรดแฮทไม่เหมือนผู้จำหน่ายรายอื่น ยกตัวอย่าง ไมโครซอฟท์ หรือ ไซแมนเทค ที่คุณจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ก่อน จากนั้น ค่อยซื้อ Support แยกต่างหาก หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจนว่า เรดแฮททำอะไร คือเรามีบุคลากรอยู่ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด 200 คน โดยจำนวน120 คน ทำงานในเรื่องของการให้ support และพัฒนา
ปี 2002 เปลี่ยนจาก RedHat Linux มาเป็น RedHat Enterprise คุณมองตรงนี้อย่างไร
ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็เพื่อมุ่งเน้นตอบสนองตลาด ตลาดลีนุกซ์มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานไปสู่ในระดับเอนเตอร์ไพรซ์ ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เราต้องการเห็นลีนุกซ์มีความน่าเชื่อถือเหมือนกับยูนิกซ์ และในเวลานี้เรดแฮท ก็ได้รับการรับรองมาตรฐานเหมือนยูนิกซ์แล้ว และทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่เราเปลี่ยนมาเป็นเรดแฮท เอนเตอร์ไพรซ์
เพราะตลาดเปลี่ยนหรือเปล่า
ปัจจุบันตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดเอนเตอร์ไพรซ์ ลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าย้อนกลับไปในปี 2543 คนก็ยังเดินไปที่ร้านค้าและถามหากล่องของเรดแฮท แต่ตอนนี้ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจการสื่อสาร เป็นธุรกิจที่เลือกใช้ลีนุกซ์ จะเห็นได้ชัดว่า ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อตลาดเปลี่ยนเราก็ต้องปรับตัวตามตลาดด้วย ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจไปด้วย
คาดหวังอะไรจากโครงการ Fedora
Fedora project เป็นโครงการที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะต่อบริษัท เรดแฮท ซึ่งเป็นบริษัท Open Source Fedora เป็นโครงการที่ทำให้เราสามารถใกล้ชิดกับชุมชนโอเพ่นซอร์สได้มาก และจะถือเป็นการรับฟังข้อเสนอแนะจากชุมชนผู้ใช้งานจริงๆ คือ เป็นโครงการที่ทำเพื่อให้อยู่กับชุมชน ซึ่งแพลตฟอร์มของเราก็เป็นแพลตฟอร์มที่ดี ดังนั้นทั้งเราและชุมชนต่างก็รู้สึกสบายใจกับโครงการนี้
คิดอย่างไรกับมุมมองที่ว่าใช้ชุมชนเป็นหนูทดลอง
ถ้ามองในเรื่องของการให้และการรับ เราคิดว่า เรามุ่งเน้นที่การให้ชุมชนมากกว่าการคาดหวังในเรื่องของผลตอบแทน สิ่งที่เราทุ่มเท คือเราใช้จ่ายและใช้เวลากับโครงการนี้ค่อนข้างมากทีเดียวก็เพื่อให้ชุมชนได้มีโอกาสในเรื่องของการใช้งาน และจากการที่ชุมชนได้ใช้แพลตฟอร์มของเรา ก็จะมีการให้ข้อแนะนำ ข้อเสนอแนะต่างๆ ว่าควรจะปรับปรุงหรือเพิ่มเติมในเรื่องใดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น ซึ่งเราก็ได้นำข้อแนะนำเหล่านั้นมาปรับปรุงเพื่อนำเสนอรูปแบบที่สนับสนุนการทำงานที่ดีขึ้น เนื่องจาก เรดแฮท ให้ความสำคัญกับชุมชนมาก ในฐานะของบริษัท Open Source การที่เราใส่ใจกับชุมชนนับเป็นสิ่งสำคัญ เราถือว่าเราเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะเรดแฮทได้ทุ่มเทความตั้งใจกับเรื่องอย่างยิ่ง เห็นได้จากการที่เราได้ซื้อหลายๆ บริษัทมาเพื่อต่อยอดการให้บริการกับประชาชน
คนที่จะทำธุรกิจในลักษณะเดียวกันนี้ควรจะคำนึงถึงอะไรเป็นพิเศษบ้าง
ตอนนี้สิ่งที่เรามองว่ามีความสำคัญมากๆ คือ เรื่องของบุคลากร ต้องจ้างคนให้เพียงพอ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด เนื่องจากธุรกิจนี้มีอัตราเติบโตอย่างรวดเร็วมาก และมีความต้องการมากในตลาด บางครั้งอาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในตลาดได้ทัน ดังนั้นสิ่งที่ผมมุ่งเน้น คือการสร้างฐานการสนับสนุนของเรดแฮทในประเทศไทย ให้เป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงสำนักงานในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือที่ประเทศจีน
ปีนี้ RedHat มีอะไรใหม่ๆ ออกมา
เราจะมีการเปิดตัว RedHat Enterprise Linux 4 และ new desktop product ซึ่งอาจจะทำการเปิดตัวภายในวันเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ทั้งสองประเภท นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีความพิเศษมาก ซึ่งต่อไป เรดแฮทก็ยังจะทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผนการทำตลาดทั่วโลก เป็นอย่างไร
กิจกรรมการเปิดตัว RedHat Enterprise Linux 4 ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ มากมายต่อไป ซึ่งเรดแฮทให้ความสำคัญมากกับบรรดาพันธมิตร ของเรดแฮท โดยในแถบเอเชียแปซิฟิกที่ร้อยละ 98 ของรายได้ มาจากพันธมิตรธุรกิจ นอกจากนี้ เรายังจะดำเนินแผนการตลาดให้เป็นตลาดแบบ local มากขึ้น คือการสร้างกิจกรรมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับประเทศนั้นๆ พร้อมทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถสนับสนุนการใช้งานในภาษาท้องถิ่นได้ครอบคลุมมากขึ้นอีกด้วย โดยเราจะมีการจัดสรรงบประมาณด้านการตลาด เป็นจำนวนที่สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 4 เท่า เพื่อสร้างฐานกิจกรรมทางการตลาดในปีนี้ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
ความร่วมมือในประเทศอื่นๆ เป็นอย่างไร อย่างเช่นประเทศที่มีลีนุกซ์อย่าง จีน เกาหลี หรือในบ้านเราเอง มีความร่วมมือกับใครบ้าง เช่น Nectec
ณ เวลานี้เรายังไม่ได้คุยกับใครในเรื่องของการร่วมมืออย่างจริงจัง แต่สำหรับในประเทศจีน เรามีการคุยอยู่บ้างกับบางแห่ง เช่น Red Flag เรดแฮท เป็นบริษัทโอเพ่นซอร์ส ดังนั้นเราจึงอยากที่จะร่วมมือกับบริษัทอื่นอย่างแน่นอนในการที่จะทำอะไรร่วมกัน ดังนั้นถ้าร่วมมือกับใครได้เราจะทำอย่างแน่นอน
เรดแฮทมองว่าใครเป็นคู่แข่ง
ณ เวลานี้เรามองว่ายูนิกซ์เป็นคู่แข่งของเรา เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับไมโครซอฟท์ หรือ โนเวลล์เลย
คิดอย่างไรกับการที่โนเวลล์ซื้อบริษัทซูซี่ ซึ่งอาจทำให้โนเวลล์มี Product ที่มาแข่งขันกับเรดแฮท
ถ้าคุณหมายถึง ผลิตภัณฑ์เดสก์ทอป เรดแฮท เข้าตลาดก่อน และเรดแฮท มักจะถูกจับตามองในเรื่องของการซื้อกิจการอยู่บ่อยครั้ง สำหรับเรื่องดังกล่าว ผมคิดว่าเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
จะเปิดสาขาในเมืองไทยหรือไม่
ก่อนอื่น ผมขออธิบายถึงปรัชญาการทำธุรกิจของเรดแฮท เรามีแผนการขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียอยู่แล้ว และผมก็มีความต้องการที่จะเห็นเรดแฮทในทุกๆที่ ไม่ว่าจะเป็น โตเกียว กรุงโซล กวางโจว ปักกิ่ง ฮ่องกง ไทเป กรุงเทพฯ สิงคโปร์ มานิลา เรามีสำนักงานถึง 5 แห่งในอินเดียอยู่แล้ว และแน่นอนเรายังอยากที่จะขยายสำนักงานเพิ่มขึ้น
นโยบายในการขยายขึ้นอยู่กับว่าจะร่วมกับพันธมิตรในลักษณะของการลงทุนร่วม (Joint venture) หรือจะพันธมิตรกับใครในลักษณะใด ซึ่งสำหรับประเทศไทย เราเลือกที่จะเป็นเป็นพันธมิตรกับบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในตลาดโอเพ่นซอร์ส (ซึ่งก็หมายถึงการแต่งตั้งดาต้าแมทเป็นตัวแทนในเมืองไทย)
เหมือนว่า เรดแฮทจะมุ่งเน้นที่ตลาด Server มากกว่า Desktop ใช่หรือไม่
ใช่ สาเหตุที่เรามุ่งเน้นที่ตลาด Server เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพดีกว่า แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีลูกค้าของเราจำนวนมากที่ใช้ Linux Desktop ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ Window Desktop ซึ่งเดสก์ทอปก็มีการพัฒนาๆ ขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้บอกว่าคุณจะใช้ Linux Desktop ไม่ได้ แต่แค่ว่าเราจะไปโฟกัสตลาดอย่างเอนเตอร์ไพรส์มากกว่าเท่านั้น
เรื่อง SCO ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง และจะทำให้เกิดความมั่นใจเรื่องนี้
ไม่มีลูกค้าคนไหนพูดถึง SCO กับเราในเรื่องนี้เลย ซึ่งเรามองว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีผลกระทบกับเราเลย
อยากเห็น RedHat ในเมืองไทย
เร็วๆนี้
“ตลาดลีนุกซ์มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานไปสู่ในระดับเอนเตอร์ไพรซ์ ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เราต้องการเห็นลีนุกซ์มีความน่าเชื่อถือเหมือนกับยูนิกซ์”
“สำหรับประเทศไทย เราเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญในตลาดโอเพ่นซอร์ส ซึ่งก็หมายถึงการแต่งตั้งดาต้าแมทเป็นตัวแทนในเมืองไทย”