ทุกวันนี้ คงไม่มีบริษัทใดที่ไม่มี Website เป็นของตัวเอง บางบริษัทอาจจะเช่า Web Hosting อยู่ หรือ บางบริษัทอาจมี Web Site เป็นของตนเอง
อยู่ในระบบเครือข่ายของบริษัท โดยมีการต่อเชื่อมเครือข่ายของบริษัทด้วย
Frame Relay, ADSL หรือ Leased Line เข้ากับระบบเครือข่ายของ ISP
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการจัดซื้อ Firewall มาใช้ป้องกันระบบเครือข่ายภายใน
ของบริษัท กับ ระบบอินเทอร์เน็ตจาก ISP และ มีการเปิดให้คนภายนอก
สามารถเข้ามาเยี่ยมชม Web Site ได้ โดยเปิด Port TCP 80 (http)
และ Port TCP 443 (https) ในกรณีที่ใช้โปรโตคอล SSL ในการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ปัญหาก็คือ ในเมื่อทุกบริษัทต้องเปิดทางให้มีการเข้าชม Web Site
ทั้งแบบ Plain text traffic (Port 80) และแบบ Encrypted text traffic (port 443) ทำให้แฮกเกอร์สามารถจู่โจม Web Site ของเรา โดยไม่ต้องเจาะผ่าน
Firewall เนื่องจากเป็น Port ที่ Firewall มีความจำเป็นต้องเปิดใช้อยู่แล้ว
ในโลกของ E-Commerce มีอัตราการใช้งาน Web Server ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
(ดูข้อมูลจาก www.netcraft.com) และ UNCTAD (http://www.unctad.org)
พบว่า Web Server ทั่วโลก มีทั้งแบบที่เข้ารหัสด้วย SSL แล้ว
และแบบไม่เข้ารหัสด้วย SSL ก็ยังคงมีใช้กันอยู่ ในเมื่อแฮกเกอร์มองเห็น
ช่องที่เรามีความจำเป็นต้องเปิดใช้งานผ่านทาง Web Server
และ Web Application แฮกเกอร์ในปัจจุบันจึงใช้วิธีที่เรียกว่า
"Web Application Hacking" ในการเจาะเข้าสู่ระบบขององค์กรต่างๆ
ทั่วโลก ขณะนี้มีการจู่โจมระบบโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ต้องการทำสถิติ
ในการเจาะ Web Site (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.zone-h.org)
ดังนั้น ผู้ที่มี Web Site อยู่ และ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการหันมาทำธุรกิจ
ในลักษณะของ E-commerce ซึ่งต้องมี Web Site ที่ใช้ Web server
ที่เชื่อถือได้ และมีการเขียน Web application โดยคำนึงถึงเรื่อง "Security"
เป็นหลัก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ช่องโหว่ (Vulnerability)
ของ Web application ที่แฮกเกอร์ชอบใช้ในการเจาะระบบ Web application ของเราซึ่งรวบรวมได้ทั้งหมด 10 วิธีด้วยกัน ตลอดจนเรียนรู้วิธีการป้องกัน
ที่ถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่าแฮกเกอร์ที่จ้องคอยเจาะระบบ
เราอยู่ผ่านทาง Web Site ที่ยังไงเราก็ต้องเปิดให้เข้าถึง และ ยังมี
Virus Worm ตัวใหม่ๆ ที่เขียนขึ้นเพื่อจู่โจม Port 80 (HTTP)
และ Port 443 (SSL) โดยเฉพาะอีกด้วย
รายละเอียดของ Top 10 Web Application Hacking มี 10 วิธี ดังนี้
1. Unvalidated Input หมายถึง การที่ข้อมูลจากฝั่ง client ที่ส่วนใหญ่แล้ว
จะมาจาก Internet Explorer (IE) Browser ไม่ได้รับการตรวจสอบ
ก่อนถูกส่งมาประมวลผลโดย Web Application ที่ทำงานอยู่บน Web Server
ทำให้แฮกเกอร์สามารถดักแก้ไขข้อมูลในฝั่ง client ก่อนที่จะถูกส่งมายังฝั่ง
server โดยใช้โปรแกรมที่สามารถดักข้อมูลได้ เช่น โปรแกรม Achilles
เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเรารับข้อมูลจากฝั่ง client โดยไม่ระมัดระวัง หรือ
คิดว่าเป็นข้อมูลที่เราเป็นคนกำหนดเอง เช่น เทคนิคการใช้ Hidden Field
หรือ Form Field ตลอดจนใช้ข้อมูลจาก Cookies เราอาจจะโดนแฮกเกอร์
แก้ไขข้อมูลฝั่ง client ด้วย โปรแกรมดังกล่าวแล้วส่งกลับมาฝั่ง server
ในรูปแบบที่แฮกเกอร์ต้องการ และมีผลกระทบกับการทำงานของ
Web Application ในฝั่ง web server
วิธีการป้องกัน
เราควรจะตรวจสอบข้อมูลที่รับมาจากทั้ง 2 ฝั่ง คือ ข้อมูลที่รับมาจาก client
ผ่านทาง Browser และข้อมูลที่รับมาประมวลผลที่ web server โดยตรวจสอบที่ web server อีกครั้งก่อนนำไปประมวลผลด้วย Web application
เราควรมีการฝึกอบรม Web Programmer ของเราให้ระมัดระวัง
ในการรับ input จากฝั่ง client ตลอดจนมีการ Review Source code
ไม่ว่าจะเขียนด้วย ASP, PHP หรือ JSP Script ก่อนที่จะนำไปใช้งาน
ในระบบจริง ถ้ามีงบประมาณด้านรักษาความปลอดภัย ก็แนะนำให้ใช้
application level firewall หรือ Host-Based IDS/IPS ที่สามารถมองเห็น
Malicious content และป้องกันในระดับ application layer
2. Broken Access Control หมายถึง มีการป้องกันระบบไม่ดีพอเกี่ยวกับการ
กำหนดสิทธิของผู้ใช้ (Permission) ที่สามารถจะ Log-in /Log-on เข้าระบบ
Web application ได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ผู้ที่ไม่มีสิทธิเข้าระบบ
(Unauthorized User) สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เราต้องการป้องกันไว้
ไม่ให้ Unauthorized User เข้ามาดูได้ เช่น เข้ามาดูไฟล์ข้อมูลบัตรเครดิต
ลูกค้าที่เก็บอยู่ใน Web Server หรือ เข้าถึงไฟล์ข้อมูลในลักษณะ
Directory Browsing โดยเห็นไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ใน web Server ของเรา
ปัญหานี้เกิดจากการกำหนด File Permission ไม่ดีพอ และ อาจเกิดจาก
ปัญหาที่เรียกว่า "Path Traversal" หมายถึง แฮกเกอร์จะลองสุ่มพิมพ์ path
หรือ sub directory ลงไปในช่อง URL เช่น
http://www.abc.com/../../customer.mdb เป็นต้น
นอกจากนี้อาจเกิดจากปัญหาการ cache ข้อมูลในฝั่ง client ทำให้ข้อมูล
ที่ค้างอยู่ cache ถูกแฮกเกอร์เรียกกลับมาดูใหม่ได้ โดยไม่ต้อง Log-in
เข้าระบบก่อน
วิธีการป้องกัน
พยายามอย่าใช้ User ID ที่ง่ายเกินไป และ Default User ID ที่ง่ายต่อการเดา โดยเฉพาะ User ID ที่เป็นค่า default ควรลบทิ้งให้หมด สำหรับปัญหา
Directory Browsing หรือ Path Traversal นั้น ควรมีการ
set file system permission ให้รัดกุม เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี
และปิด file permission ใน sub directory ต่างๆ ที่ไม่ได้มีความจำเป็น
ต้องให้คนภายนอกเข้า เพื่อป้องกันแฮกเกอร์สุ่มพิมพ์ path เข้ามาดึงข้อมูลได้ และควรมีการตรวจสอบ Web Server log file และ IDS/IPS log file
เป็นระยะๆ ว่ามี Intrusion หรือ Error แปลกๆ หรือไม่
3. Broken Authentication and Session Management หมายถึง
ระบบ Authentication ที่เราใช้อยู่ในการเข้าถึง Web Application
ของเรานั้นไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เช่น การตั้ง Password ง่ายเกินไป
มีการเก็บ Password ไว้ในฝั่ง Client โดยเก็บเป็นไฟล์ Cookie
ที่เข้ารหัสแบบไม่ซับซ้อนทำให้แฮกเกอร์เดาได้ง่าย หรือใช้ชื่อ User
ที่ง่ายเกินไป เช่น User Admin เป็นต้น บางทีก็ใช้ Path ที่ง่ายต่อการเดาได้
เช่น www.abc.com/admin หมายถึง การเข้าถึงหน้า admin ของระบบ
แฮกเกอร์สามารถใช้โปรแกรมประเภท Dictionary Attack
หรือ Brute Force Attack ในการลองเดาสุ่ม Password ของระบบ
Web Application ของเรา ตลอดจนใช้โปรแกรมประเภท Password Sniffer
ดักจับ Password ที่อยู่ในรูปแบบ Plain Text หรือ บางทีแฮกเกอร์
ก็ใช้วิธีง่ายๆ ในการขโมย Password เรา โดยแกล้งปลอมตัวเป็นเรา
แล้วแกล้งลืม Password (Forgot Password) ระบบก็จะถามคำถามกลับมา
ซึ่งถ้าคำถามนั้นง่ายเกินไป แฮกเกอร์ก็จะเดาคำตอบได้ไม่ยากนัก
ทำให้แฮกเกอร์ได้ Password เราไปในที่สุด
วิธีการป้องกัน
ที่สำคัญที่สุด คือการตั้งชื่อ User Name และ Password ควรจะมีความซับซ้อน
ไม่สามารถเดาได้ง่าย มีความยาวไม่ต่ำกว่า 8 ตัวอักษร และมีข้อกำหนด
ในการใช้ Password (Password Policy) ว่าควรมีการเปลี่ยน Password
เป็นระยะๆ ตลอดจนให้มีการกำหนด Account Lockout เช่น
ถ้า Logon ผิดเกิน 3 ครั้ง ก็ให้ Lock Account นั้นไปเลยเป็นต้น
การเก็บ Password ไว้ในฝั่ง Client นั้น ค่อนข้างที่จะอันตราย
ถ้ามีความจำเป็นต้องเก็บในฝั่ง Client จริงๆ ก็ควรมีการเข้ารหัสที่ซับซ้อน
(Hashed or Encrypted) ไม่สามารถถอดได้ง่ายๆ การ Login เข้าระบบ
ควรผ่านทาง https protocol คือ มีการใช้ SSL เข้ามาร่วมด้วย
เพื่อเข้ารหัส Username และ Password ให้ปลอดภัยจากพวกโปรแกรม
Password Sniffing ถ้ามีงบประมาณควรใช้ Two-Factor Authentication เช่น
ระบบ One Time Password ก็จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น
การใช้ SSL ควรใช้ Digital Certificate ที่ได้รับการ Sign อย่างถูกต้องโดย
CA (Certificate Authority) ถ้าเราใช้ CA แบบ Self Signed
จะทำให้เกิดปัญหา Man in the Middle Attack (MIM) ทำให้แฮกเกอร์
สามารถเจาะข้อมูลเราได้แม้ว่าเราจะใช้ SSL แล้วก็ตาม
(ข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับ SSL Hacking ดูที่ http://www.acisonline.net)
4. Cross Site Scripting (XSS) Flaws หมายถึง แฮกเกอร์สามารถใช้
Web Application ของเรา เช่น ระบบ Web Board ในการฝัง
Malicious Script แฝงไว้ใน Web Board แทนที่จะใส่ข้อมูลตามปกติ
เมื่อมีคนเข้า Refresh หน้า Web Board ก็จะทำให้ Malicious Script
ที่ฝังไว้นั้นทำงานโดยอัตโนมัติ ตามความต้องการของแฮกเกอร์
หรือ อีกวิธีหนึ่ง แฮกเกอร์จะส่ง e-mail ไปหลอกให้เป้าหมาย
Click ไปที่ URL Link ที่แฮกเกอร์ได้เตรียมไว้ใน e-mail
เมื่อเป้าหมาย Click ไปที่ Link นั้น ก็จะไปสั่ง Run Malicious Script
ที่อยู่ในตำแหน่งที่แฮกเกอร์ทำดักรอไว้
วิธีการหลอกแบบนี้ในวงการเรียกว่า "PHISHING"
ซึ่งโดนกันไปแล้วหลายองค์กร เช่น Citibank, eBay เป็นต้น
(ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.acisonline.net)
วิธีการป้องกัน
อย่างแรกเลยต้องมีการให้ข้อมูลกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป
ที่ใช้ e-mail และ web browser กันเป็นประจำให้ระมัดระวัง
URL Link แปลกๆ หรือ e-mail แปลกๆ ที่เข้ามาในระบบ
ก่อนจะ Click ควรจะดูให้รอบคอบก่อน เรียกว่า เป็นการทำ
"Security Awareness Training" ให้กับ User
ซึ่งควรจะทำทุกปี ปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้รู้ทันกลเม็ดของแฮกเกอร์
และไวรัสที่ชอบส่ง e-mail มาหลอกอยู่เป็นประจำ
สำหรับในฝั่งของผู้ดูและระบบ เช่น Web Master ก็ควรจะแก้ไข
source codeใน Web Board ของตนให้ฉลาดพอที่จะแยกแยะ
ออกว่ากำลังรับข้อมูลปกติ หรือรับข้อมูลที่เป็น Malicious Script
ซึ่งจะสังเกตได้ไม่ยาก เพราะ Script มักจะมีเครื่องหมาย
"<> ( ) # & " ให้ Web Master ทำการ "กรอง" เครื่องหมายเหล่านี้
ก่อนที่จะนำข้อมูลไปประมวลผลโดย Web application ต่อไป
5. Buffer Overflow หมายถึง ในฝั่งของ Client และ Server
ไม่ว่าจะเป็น IE Browser และ IIS Web Server หรือ Netscape Browser
และ Apache Web Server ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ ล้วนมีช่องโหว่
(Vulnerability) หรือ Bug ที่อยู่ในโปรแกรม เมื่อแฮกเกอร์สามารถค้นพบ
Bug ดังกล่าว แฮกเกอร์ก็จะฉวยโอกาสเขียนโปรแกรมเจาะระบบ
ที่เราเรียกว่า "Exploit" ในการเจาะผ่านช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ
ซึ่งช่วงหลังๆ แม้แต่ SSL Modules ทั้ง IIS และ Apache web server
ก็ล้วนมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เจาะผ่านทาง Buffer Overflow ทั้งสิ้น
วิธีการป้องกัน
จะเห็นว่าปัญหานี้มาจากผู้ผลิตไม่ใช่ปัญหาการเขียนโปรแกรม
Web application ดังนั้นเราต้องคอยหมั่นติดตามข่าวสาร
New Vulnerability และ คอยลง Patch ให้กับระบบของเราอย่างสม่ำเสมอ
และลงให้ทันท่วงทีก่อนที่จะมี exploit ใหม่ๆ ออกมาให้แฮกเกอร์
ใช้ในการเจาะระบบของเรา
6. Injection Flaws หมายถึง แฮกเกอร์สามารถที่จะแทรก Malicious Code
หรือ คำสั่งที่แฮกเกอร์ใช้ในการเจาะระบบส่งผ่าน Web Application
ไปยังระบบภายนอกที่เราเชื่อมต่ออยู่ เช่น ระบบฐานข้อมูล SQL
โดยวิธี SQL Injection หรือ เรียก External Program ผ่าน shell command
ของระบบปฎิบัติการ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วแฮกเกอร์จะใช้วิธีนี้ในช่วงการทำ Authentication หรือการ Login เข้าระบบผ่านทาง Web Application
เช่น Web Site บางแห่งชอบใช้ "/admin" ในการเข้าสู่หน้า Admin ของระบบ
ซึ่งเป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์สามารถเดาได้เลยว่า
เราใช้ http://www.mycompany.com/admin ในการเข้าไปจัดการ
บริหาร Web Site ดังนั้นเราจึงควรเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่ไม่ใช่ "/admin"
ก็จะช่วยได้มาก วิธีการทำ SQL injection ก็คือ แฮกเกอร์จะใส่ชื่อ username
อะไรก็ได้ แต่ password สำหรับการทำ SQL injection จะใส่เป็น
Logic Statement ยกตัวอย่างเช่น ' or '1' = '1 หรือ " or "1"= "1
ถ้า Web Application ของเราไม่มีการเขียน Input Validation
ดัก password แปลกๆ แบบนี้ แฮกเกอร์ก็สามารถที่จะ bypass
ระบบ Authentication ของเราและ Login เข้าสู่ระบบเราโดยไม่ต้องรู้
username และ password ของเรามาก่อนเลย
วิธีการเจาะระบบด้วย SQL injection ยังมีอีกหลายแบบจากที่ยกตัวอย่างมา
ซึ่งแฮกเกอร์รุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทางอินเทอร์เน็ต
และวิธีการทำก็ไม่ยาก อย่างที่ยกตัวอย่างมาแล้ว
วิธีการป้องกัน
นักพัฒนาระบบ (Web Application Developer) ควรจะระมัดระวัง
input string ที่มาจากทางฝั่ง Client (Web Browser) และไม่ควรใช้วิธี
ติดต่อกับระบบภายนอกโดยไม่จำเป็น ควรมีการ "กรอง" ข้อมูลขาเข้า
ที่มาจาก Web Browser ผ่านมาทางผู้ใช้ Client อย่างละเอียด
และทำการ "กรอง" ข้อมูลที่มีลักษณะที่เป็น SQL injection statement
ออกไปเสียก่อนที่จะส่งให้กับระบบฐานข้อมูล SQL ต่อไป
การใช้ Stored Procedure หรือ Trigger ก็เป็นทางออกหนึ่งในการ
เขียนโปรแกรมสั่งงานไปยังระบบฐานข้อมูล SQL ซึ่งมีความปลอดภัย
มากกว่าการใช้ "Dynamic SQL Statement " กับฐานข้อมูล SQL ตรงๆ
7. Improper Error Handling หมายถึง มีการจัดการกับ Error message
ไม่ดีพอ เวลาที่มีผู้ใช้ Web Application หรืออาจจะเป็นแฮกเกอร์
ลองพิมพ์ Bad HTTP Request เข้ามาแต่ Web Server หรือ
Web Application ของเราไม่มีข้อมูล จึงแสดง Error message
ออกมาทางหน้า Browser ซึ่งข้อมูลที่แสดงออกมาทำให้แฮกเกอร์
สามารถใช้เป็นประโยชน์ ในการนำไปเดาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมจากระบบ
Web Application ของเราได้ เนื่องจากเมื่อการทำงานของ
Web application หลุดไปจากปกติ ระบบมักจะแสดงค่า Error Message
ออกมาแสดงถึงชื่อ user ที่ใช้ในการเข้าถึงฐานข้อมูล
แสดง File System Path หรือ Sub Directory Name
ที่ชี้ไปยังไฟล์ฐานข้อมูล ตลอดจนทำให้แฮกเกอร์รู้ว่าเราใช้ระบบอะไร
เป็นฐานข้อมูลเช่น ใช้ MySQL เป็นต้น
วิธีการแก้ปัญหา
ควรมีการกำหนดนโยบายการจัดการกับ Error message ให้กับระบบ
โดยทำหน้า Error message ที่เตรียมไว้รับเวลามี Bad HTTP Request
แปลกๆ เข้ามายัง Web Application ของเราโดยหน้า Error message
ที่ดีไม่ควรจะบอกให้ผู้ใช้รู้ถึงข้อมูลระบบบางอย่างที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควรรู้
และถ้าผู้ใช้คนนั้นเป็นแฮกเกอร์ซึ่งย่อมมีความรู้มากกว่าผู้ใช้ธรรมดา
การเห็นข้อมูล Error message ก็อาจนำไปใช้เป็นประโยชน์
สำหรับแฮกเกอร์ได้
8. Insecure Storage หมายถึง การเก็บรหัสผ่าน (password),
เบอร์บัตรเครดิตลูกค้า หรือ ข้อมูลลับของลูกค้า ไว้อย่างไม่มีความปลอดภัย
เพียงพอ ส่วนใหญ่จะเก็บแบบมีการเข้ารหัส (Encryption) ไว้ในฐานข้อมูล
หรือเก็บลงในไฟล์ที่อยู่ใน Web server และคิดว่าเมื่อเข้ารหัสแล้วแฮกเกอร์
คงไม่สามารถอ่านออก แต่สิ่งที่เราคิดนับว่าเป็นการประเมินแฮกเกอร์
ต่ำเกินไป เนื่องจากอาจเกิดข้อผิดพลาดในการเข้ารหัส เช่น
การเข้ารหัสนั้นใช้ Algorithm ที่อ่อนเกินไป ทำให้แฮกเกอร์แกะได้ง่ายๆ
หรือมีการเก็บกุญแจ (key) หรือ รหัสลับ (Secret password)
ไว้เป็นไฟล์แบบง่ายๆ ที่แฮกเกอร์ สามารถเข้าถึงได้ หรือสามารถถอดรหัสได้ โดยใช้เวลาไม่มากนัก
วิธีการแก้ไข
ควรมีการเข้ารหัสไฟล์ โดยใช้ Encryption Algorithm ที่ค่อนข้างซับซ้อน
พอสมควร หรือแทนที่จะเก็บรหัสผ่านที่เข้ารหัสไว้ ให้หันมาเก็บค่า
Message Digest หรือ ค่า "HASH" ของรหัสผ่านทาง โดยใช้
Algorithm SHA-1 เป็นต้น การเก็บกุญแจ (key),
ใบรับรอง ดิจิตัล (Digital Certificate) หรือลายมือชื่อดิจิตัล
(Digital Signature) ควรเก็บไว้อย่างปลอดภัย เช่น เก็บไว้ใน Token
หรือ Smart Card ก็จะปลอดภัยกว่าการเก็บไว้เป็นไฟล์ในฮาร์ดดิสค์
เป็นต้น (ถ้าเก็บเป็นไฟล์ก็ควรทำการเข้ารหัสไว้ทุกครั้ง)
9. Denial of Service หมายถึงระบบ Web Application หรือ Web Server
ของเรา อาจหยุดทำงานได้เมื่อเจอกับ Bad HTTP Request แปลกๆ
หรือมีการเรียกเข้ามาอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ทำให้เกิดการจราจร
หนาแน่นบน Web Server ของเรา โดยปกติ Web Server
จะจัดการกับ Concurrent session ได้จำนวนหนึ่ง ถ้ามี HTTP Request
เข้ามาเกินค่าที่ Web Server จะสามารถรับได้ ก็จะเกิด Error ขึ้น ทำให้ผู้ใช้
ไม่สามารถเข้า Web Site เราได้ นอกจากนี้ อาจจะทำให้เครื่องเกิด
CPU Overload หรือ Out of Memory ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของ
Denial of Service เช่นกัน กล่าวโดยรวมก็คือ
ทำให้ระบบของเรามีปัญหาเรื่อง "Availability"
วิธีการแก้ไข
การป้องกัน DoS หรือ DDoS Attack นั้นไม่ง่าย และ ส่วนใหญ่
ไม่สามารถป้องกันได้ 100% การติดตั้ง Hardware IPS
(Intrusion Prevention System) เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
แต่ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หากต้องการประหยัดงบประมาณก็ควรต้องทำการ "Hardening" ระบบให้เรียบร้อย เช่น Network OS ที่ใช้อยู่ก็ควรจะลง
Patch อย่างสม่ำเสมอ, Web Server ก็เช่นเดียวกัน เพราะมีช่องโหว่
เกิดขึ้นเป็นประจำ ตลอดจนปรับแต่งค่า Parameter บางค่าของ Network OS
เพื่อให้รองรับกับการโจมตีแบบ DoS /DDoS Attack
10. Insecure Configuration Management หมายถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น
จากผู้ดูแลระบบ หรือ ผู้ติดตั้ง Web Server มักจะติดตั้งในลักษณะ
"Default Configuration" ซึ่งยังคงมีช่องโหว่มากมาย หรือบางครั้ง
ก็ไม่ได้ทำการ Update Patch ระบบให้ครบถ้วนจนถึง Patch ล่าสุด
ปัญหาที่เจอบ่อยๆ ก็คือมีการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงไฟล์ต่างๆ
ใน Web Server ไม่ดีพอทำให้มีไฟล์หลุดออกมาให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ เช่น
แสดงออกมาในลักษณะ "Directory Browsing" ตลอดจนค่า default ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น Default Username และ Default Password ก็มักจะถูกทิ้งไว้
โดยไม่ได้เปลี่ยนอยู่เป็นประจำ
วิธีการแก้ปัญหา
ให้ทำการแก้ไขค่า "Default" ต่างๆ ทันทีที่ติดตั้งระบบเสร็จ และทำการ
Patch ระบบให้จถึง Patch ล่าสุด และ ตาม Patch อย่างสม่ำเสมอ เรียกว่า
ทำการ "Hardening" ระบบนั่นเอง Services ใดที่ไม่ได้ใช้
ก็ไม่ต้องเปิดบริการ เราควรตรวจสอบสิทธิ File and Subdirectory Permission ในระบบว่าตั้งไว้ถูกต้อง และ ปลอดภัยหรือไม่ ตลอดจนเปิดระบบ
Web Server log file เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบ (Audit) HTTP Request
ที่ส่งมายัง Web Server ได้ โดยดูจาก Web Server log file ที่เราได้เปิดไว้
และเราควรหมั่นติดตามข่าวสารเรื่องช่องโหว่ (Vulnerability) ใหม่ๆ
อย่างสม่ำเสมอ และมีการตรวจวิเคราะห์ Web Server log file,
Network log file,Firewal log file และ IDS/IPS log file เป็นระยะๆ
จะเห็นได้ว่าแฮกเกอร์ในปัจจุบันสามารถเจาะระบบเราโดยผ่านทะลุ Firewall ได้อย่างง่ายดาย เพราะ เรามีความจำเป็นต้องเปิดให้บริการ Web Server
ในทุกองค์กร ดังนั้นการตรวจสอบเรื่องของ Web Application Source Code
และ Web Server Configuration จึงเป็นทางออกสำหรับการแก้ไขปัญหา
ทางด้านความปลอดภัยของระบบให้รอดพันจากเหล่าไวรัสและแฮกเกอร์
ซึ่งนับวันจะเพิ่มจำนวนและเพิ่มความสามารถขึ้นเป็นทวีคูณ
ที่มา
http://www.acisonline.net