คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา ความร้อนแรงของสินค้าจากค่าย "แอปเปิล" สร้างปรากฏการณ์ต่อวงการไอทีทั่วโลก ไล่ตั้งแต่การประกาศเปิดตัวไอโฟน 3GS, การลดราคาไอโฟน 3G เหลือ 99 เหรียญ ไปจนถึงการลดราคาคอมพิวเตอร์
"ดาวโจนส์" นิวส์ไวด์รายงานว่า ในงาน Worldwide Develooper Conference ของค่ายแอปเปิล แสดงให้เห็นชัดเจนว่า แอปเปิลต้องการจัดการปัญหาด้านราคาสินค้าที่กระทบยอดขายในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทำให้ต้องประกาศตัดราคาสินค้าหลายประเภทอย่างรุนแรง นอกจากไอโฟน 3G ที่เหลือเพียง 99 เหรียญสหรัฐแล้ว ยังลดราคาคอมพิวเตอร์ทั้งแมคบุ๊ก โปร และแมคบุ๊ก แอร์ ในบางรุ่นมากถึง 300 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
"คริส ไวท์มอร์" นักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank กล่าวว่า การลดราคา ครั้งนี้รุนแรงกว่าในอดีตมาก โดยแอปเปิลเปิดตัวแมคบุ๊ก โปร รุ่นใหม่ ขนาด 13 นิ้ว ราคา 1,199 เหรียญสหรัฐ ขนาด 15 นิ้ว เริ่มต้นที่ 1,699 เหรียญสหรัฐ ถูกกว่าเดิมถึง 300 เหรียญสหรัฐ และขนาด 17 นิ้ว ในราคา 2,499 เหรียญสหรัฐ ขณะที่แมคบุ๊ก แอร์ ในปัจจุบันลดราคาเหลือ 1,499 เหรียญ และ 1,799 เหรียญ ลดลงจากเดิม 300-700 เหรียญสหรัฐ
การลดราคาครั้งนี้อาจสร้างความกดดันต่อกำไรของบริษัทได้ระดับหนึ่ง แต่"แอปเปิล" คาดว่าบริษัทจะมีกำไรในไตรมาสที่กำลังจะถึงนี้ 33% ขณะที่ในไตรมาสที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 36.4%
"ถ้าแอปเปิลแนะนำคอมพิวเตอร์ราคาต่ำออกมามากขึ้นในอนาคต จะเป็นการลด ช่องว่างด้านราคาคอมพิวเตอร์จากแอปเปิล และคู่แข่งในตลาดให้แคบลงได้มาก"
เหตุผลของการลดราคาสินค้า เนื่องจากได้รับเสียงวิจารณ์เรื่องราคาที่อยู่ในระดับพรีเมี่ยมมานาน โดยมีสินค้าที่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ มาก ดังนั้นการปรับลดราคาจะช่วยให้แอปเปิลดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีความอ่อนไหวด้านราคาบางส่วนให้หันมาซื้อสินค้าได้ ทั้งช่วยให้สินค้าของแอปเปิลมีความน่าดึงดูดมากขึ้น
"CNN.com" รายงานว่า การลดราคาทั้งแมคบุ๊กและไอโฟน 3G แสดงให้เห็นว่าแอปเปิลต้องการดึงกลุ่มผู้ใช้ให้หันมาเลือกใช้แพลตฟอร์มแมค และไอโฟนมากขึ้น ขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นว่าได้ตระหนักถึงปัญหาทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้า
กลยุทธ์ครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เป็นสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม
"CNN" วิเคราะห์ว่า ปัจจัยหลักในการลดราคาไอโฟน คือ การขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และเพื่อต่อกรคู่แข่ง Palm Pre ซึ่งเสนอราคา 199 เหรียญสหรัฐ โดยแอปเปิลหวังว่าไอโฟนที่ถูกลงจะทำให้ลูกค้าที่จะซื้อ Palm Pre เปลี่ยนใจมาซื้อไอโฟน รวมถึงการรับมือกับการเข้ามาของมือถือแบรนด์อื่นที่เริ่มเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟน และปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
สำหรับการลดราคาสินค้าในหมวดคอมพิวเตอร์นั้น เพราะต้องการกระตุ้นยอดขายให้กลับสู่สภาพปกติ เนื่องจากตลาดรวมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกตกลงอย่างฮวบฮาบ แม้ยอดขายแอปเปิลจะไม่ตกลงรุนแรงนัก และยังรักษามาร์เก็ตแชร์ที่ 7.5% เอาไว้ได้
"ริชาร์ด ชริม" นักวิเคราะห์จากไอดีซี วิเคราะห์ผ่านนิตยสาร WIRD ว่า "ชั่วขณะหนึ่ง แอปเปิลเพิกเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ แต่การลดราคาครั้งนี้บ่งชี้ว่า แอปเปิลตระหนักรู้จากผลประกอบการในไตรมาสแรกแล้วว่าไม่ได้สวยงามเหมือนในอดีต จึงหันมามองดูอีกครั้งว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในโลกของพีซี"
แต่กระนั้นแอปเปิลยังเลี่ยงที่จะดัมพ์ราคาอย่างหนัก เนื่องจากปัญหาด้านกำไรสินค้า แม้ปัจจุบันชิ้นส่วนอุปกรณ์จะมีราคาถูกลงมาก ทั้งแอปเปิลยังสามารถหารายได้จากการจำหน่ายแอปพลิเคชั่นแล้วก็ตาม
หากมองในภาพรวม ที่ผ่านมา คอมพิวเตอร์ "แอปเปิล" มีราคาเฉลี่ยสูงกว่าพีซีทั่วไปส่งผลให้ต้องดิ้นรนเพื่อแข่งขันมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญเศรษฐกิจขาลง โดยตลาดโน้ตบุ๊กทั่วโลก แอปเปิลเติบโตเพียง 0.3% ในไตรมาสแรกของปี 2552
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การตัดราคาของแอปเปิลยังเป็นการฉวยโอกาสตีตลาดเน็ตบุ๊ก หลังจากปีที่ผ่านมา ยอดขายเน็ตบุ๊กเติบโตเร็วมาก ถึง 20 ล้านเครื่อง ขณะที่แอปเปิลไม่มีสินค้ารุ่นดังกล่าวเลย
แม้ปัจจุบันยอดขายเน็ตบุ๊กจะเริ่มชะลอตัวลงเมื่อขึ้นปี 2552 จึงถือเป็นโอกาสของแอปเปิลที่จะเรียกยอดขายกลับคืน
"การปรับลดราคาทำให้แอปเปิลไม่ต้องเสนอเน็ตบุ๊กเข้าสู่ตลาด เพราะเน็ตบุ๊กอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายของแมคบุ๊กได้ และการลดราคาแมคบุ๊กอาจทำให้แอปเปิลมีการเติบโตเป็นดับเบิลดิจิตในตลาดโน้ตบุ๊ก" วิเจย์ ราเครช นักวิเคราะห์จาก Think Panmure กล่าว
นักวิเคราะห์จากการ์ดเนอร์ และบริษัทวิจัย NPD กรุ๊ป เห็นตรงกันว่า แอปเปิลยังคงราคาสินค้ารุ่นต่ำสุดที่ 999 เหรียญสหรัฐ เพราะย้ำมาตลอดว่าจะไม่เข้าไปเล่นในตลาดเน็ตบุ๊ก แม้การลดราคาครั้งนี้อาจ ไม่พอที่จะสู้เน็ตบุ๊กได้เต็มตัว แต่นักวิเคราะห์ทั้งสองรายคาดว่า แอปเปิลจำเป็นต้องเดินเข้าสู่ตลาดนี้ในปีนี้ หรือต้นปีหน้าแน่นอน หากต้องการดับเบิลมาร์เก็ตแชร์
บวกกับเทรนด์การลดลงของราคาสินค้าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมพีซีและปัจจัยจากเศรษฐกิจทำให้แอปเปิลไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ แม้ว่าจะมีฐานลูกค้าระดับราคา 1,500 เหรียญสหรัฐแข็งแกร่งมากก็ตาม เพราะในปัจจุบันลูกค้าต้องการสิ่งที่คุ้มค่า คุ้มราคามากกว่าเดิม