อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า MacBook Pro 17" Unibody ตัวใหม่ที่เปิดตัวไปในงาน Macworld ที่ผ่านมานั้น มีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการผลิต แอปเปิลอ้างว่าใช้งาน ได้นานถึง 7-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็เป็นที่ทราบกันไปแล้วว่า แอปเปิลออกแบบให้ไม่สามารถเปลี่ยนได้เอง หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่สามารถพกแบตสำรองแล้วถอดเปลี่ยนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีดังกล่าว ก็ไม่เชิงว่าจะใหม่เสียทีเดียว มันมาจากการใช้แนวคิดใหม่เสียมากกว่า
Macbook ตัวใหม่นั้นใช้แบตเตอรี่ Lithium-Polymer (ลิเทียม-โพลีเมอร์) ซึ่ง Apple บอกว่าแตกต่างจากแบตเตอรี่สำหรับโน๊ตบุ๊คที่บริษัทอื่นใช้กัน ซึ่งก็เป็นความจริง PC Laptop ส่วนใหญ่ใช้แบตแบบ Lithium-Ion ซึ่งจะมีส่วนประกอบเป็นกระบอกเซลล์อยู่ภายใน ซึ่งกระบอกดังกล่าวเป็นผลทำให้ต้องเสียพื้นที่ไปเปล่าๆ ในเซลล์ดังกล่าว โน๊ตบุ๊คที่ราคาถูกกว่าบางรุ่นก็ใช้ Nickel Metal Hydride ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อพื้นที่ ที่เสียไปค่อนข้างน้อย แบตดังกล่าว Apple เองเคยใช้เมื่อสมัย PowerBook รุ่นแรกๆ
แม้ว่า Lithium-Polymer จะดูเหมือนเป็นเรื่องใหม่ แต่อันที่จริงแล้ว Apple ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้มาหลายปีแล้ว โดยใช้ใน iPod , iPhone และใน MacBook Air ก็ใช้แบตชนิดนี้ แบตชนิดนี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่อง Package ที่จะต้องเป็นทรงกระบอกดังกล่าว มันจะเป็นแผ่น Polymer ที่สามารถจะทำเป็นรูปทรงตามที่ต้องการได้ ซึ่งทำให้มีขนาดเล็ก และหนาแน่นกว่า
การใช้งานใน MacBook Pro 17" นั้นแตกต่างจากในอุปกรณ์เล็กๆอย่าง iPod , iPhone หรือแม้แต่ MacBook Air เพราะว่า MacBook Pro 17" มีข้อจำกัดเรื่องขนาดน้อยกว่า มีพื้นที่ภายในมากกว่า นั่นจึงทำให้แอปเปิลสามารถที่จะ "ยัด" เซลล์แบตเตอรี่จำนวนมากลงไปในเครื่อง MacBook Pro 17" ได้ จึงทำให้มันสามารถใช้งานได้นานขึ้นกว่าเดิม
กบฎต่อความคิดเดิมๆ เรื่องแบตต้องถอดเปลี่ยนได้
อะไร เป็นเหตุให้ Apple หาญกล้าที่จะท้าทายต่อการต่อต้าน ในกรณีเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแบตได้ ความคิดที่มีกันมายาวนานต่อเนื่อง ว่า Notebook ขนาดใหญ่ไซส์นี้จะต้องมีแบตที่ถอดเปลี่ยนได้ เพื่อที่จะเปลี่ยนไปใช้แบตสำรองได้ เมื่อแบตก้อนแรกหมด มันมาจากการที่ Apple ได้ทำการเก็บข้อมูลมาเป็นระยะเวลานาน เกี่ยวกับแบตที่เปลี่ยนไม่ได้ใน iPod และ iPhone ซึ่งถูกเย้ยหยันจากบรรดาเซียนเทพทั้งหลายมานาน เรื่องการเปลี่ยนแบตไม่ได้ บางคนอ้างว่าแอปเปิลทำอย่างนั้นเพราะต้องการรายได้จากค่าเปลี่ยนแบต ?!? (แหม พูดยังกับว่าบริษัทอื่นให้แบตสำรองฟรีงั้น)
เหตุผล ใหญ่ที่แท้จริงก็คือแอปเปิล ต้องการจะสร้างอุปกรณ์ ที่ไม่มีส่วนประกอบกลไกการเปลี่ยนฝา มีส่วนที่ต้องเป็นสลักยึด ทั้งหลายแหล่ ที่จะต้องมีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ โดยแลกกับการได้มากของสิ่งอื่นทดแทน สำหรับใน MacBook Pro ตัวนี้ก็คือพื้นที่ที่กว้างขึ้น เพื่อบรรจุแบตเตอรี่ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานได้นานขึ้น
ปีที่แล้ว Apple ออก MacBook Air ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแบตได้เหมือนกัน ออกมาเช็คตลาดก่อน ซึ่งก็ไม่ต่างกันเซียนเทพทั้งหลาย ต่างก็ดาหน้าออกมาต่อว่าในเรื่องดังกล่าวกันถ้วนหน้า ในทางกลับกันการที่ตัวเครื่องมีความบางอย่างมากเป็นจุดขาย ทำให้ยอดขายของ MacBook Air ไปได้ค่อนข้างดี ส่วน MacBook ในรุ่น 13-15" นั้นออกแบบมาให้สามารถเปลี่ยนแบตได้ จนกระทั่งมา MacBook Pro 17" ดังกล่าวที่กลับมาใช้แบบที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเองได้ แต่แลกมาด้วยระยะเวลาการใช้งานที่นานขึ้น จำนวนแบตที่มากขึ้นถึง 40% ใน MacBook Pro ทำให้มันใช้งานได้ประมาณ 8 ชั่วโมง ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นที่ใช้งานได้ประมาณ 5 ชั่วโมง ถ้าจะทำงานได้ยาวนานกว่านั้นก็ต้องพกแบตสำรองอีกก้อน ซึ่งยังไงก็ตามถ้าจะใช้ให้ได้ยาวนานกว่านั้น ก็ต้องหาที่ชาร์จแบตอยู่ดี
อายุการใช้งานแบตที่นานขึ้น
เป็น อีกหนึ่งประเด็นที่ Apple บอกไว้ ว่าแบตของ MacBook Pro 17" ตัวใหม่นี้ใช้เทคนิคการชาร์จไฟแบบใหม่ ที่แอปเปิลเรียกว่า Adative Charging ซึ่งจะมีชิปตัวนึงคอยทำหน้าที่ตรวจสอบแบตแต่ละเซลล์ แล้วจะทำการคำนวณเพื่อควบคุมการรีชาร์จให้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น จากที่โดยปกติจะมีระยะเวลาการใช้งานอยู่ที่ 300 รอบการชาร์จ มาเป็น 1000 รอบ ทำให้ลดการเกิดขยะ ซึ่งตรงกับนโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่เป็นตัวชูโรงของแอปเปิลอย่างมากในช่วงหลังๆนี้
ปัจจุบัน ยอดจำหน่ายโน๊ตบุ๊คมีมากกว่าครึ่งของยอดขายทั้งหมดของ Apple เทคโนโลยีที่ใช้ในแบตเตอรี่ เป็นเรื่องหนึ่งที่แอปเปิลให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนา ทั้งในเรื่องของสารเคมีที่จะนำมาใช้ ทั้งในเรื่องของการออกแบบพัสดุภัณฑ์ ซึ่งนั่นทำให้แอปเปิลสร้างสินค้าที่มีความต่างจากคู่แข่งรายอื่น ที่แข่งกันอยู่ที่ราคาเป็นหลัก ซึ่งบางครั้งทำให้ต้องใช้เทคโนโลยีที่เก่า ซึ่งไม่ต้องการการลงทุนในการวิจัยมากนัก
ไม่ทำตลาด Netbook เสียที
แอ ปเปิลได้รับการวิจารณ์อย่างมาก ในเรื่องที่ไม่ลงมาเล่นในตลาด Netbook ที่มีราคาต่ำอยู่ในช่วง 400 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณหมื่นกว่าบาทเสียที บางที่ก็ต่อว่ากันสาดเสียเทเสีย (ก็น่าแปลกที่จะไปเดือดร้อนแทนเขาทำไม) หลายต่อหลายครั้งที่แอปเปิลออกมาแจ้งให้ทราบกันไปแล้ว ว่าตลาดดังกล่าวเป็นตลาดที่มีส่วนต่างของผลกำไรน้อย และได้รับการโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อทั้งหลายจนเกินจริง ณ ปัจจุบัน Apple เลือกที่จะอยู่กับตลาดของ Notebook ระดับสูงที่เป็นตลาดที่ตัวเองครองตลาดอยู่แล้วมากกว่า ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันหวนกลับไปเหมือนเมื่อทศวรรษก่อน แอปเปิลต้องหาช่องทางในการเอาตัวรอดให้ได้ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ส่งผลกระทบไปทั่ว
เชื่อว่า แอปเปิลเองก็กำลังมองหาช่องทางที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ ที่ไม่เพียงแต่ต้องมีความแข็งแรงในตัวเองพอที่จะสู้ในตลาดดังกล่าว แต่จะต้องมีมูลค่าพอที่จะก่อให้เกิดกำไรอีกด้วย ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก หากจะลงมาสู้กับยี่ห้ออื่นในตลาด Netbook ที่ยังเน้นกันด้วยเรื่องของราคาเป็นหลัก
อ้างอิงจาก
**Hidden Content: To see this hidden content your post count must be 1 or greater.**