Results 1 to 3 of 3

Thread: วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง

  1. #1
    Junior Member
    Join Date
    Mar 2008
    Posts
    5


    วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง

    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้น อย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน

    ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า...

    การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย


    องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน

    1. กรรม

    2.ตัวเราเอง

    3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆช่วย



    1.กรรม มีอัตราส่วน 50 %

    ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ

    2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %

    ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้

    3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %

    ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ

    สิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการนี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ

    สมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน" ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม" เรามีอัตราส่วนถึง 50 %

    ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต

    แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี "กรรมดี" ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนนจะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือ จากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะ
    การที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้

    แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่

    สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี "จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน"

    นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดี เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25 ไปจัดสัดส่วนเอาเอง

    ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อนจะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนนจากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อนให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น" คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการหรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง

    แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกันทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลกันไม่ดีกว่าหรือ ?

    ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือ สิ่งช่วยเหลือที่ดีแล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง

    การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด

    1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง

    คือท่องๆ บ่อยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้ ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมายเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี)จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ

    2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ

    หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไรฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้ กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล

    ที่มา

    http://www.extrasoul.com/pray.html

  2. #2
    Junior Member
    Join Date
    Apr 2009
    Posts
    0


    ทำให้ปลงกับชีวิต เลยครับบทความเยี่ยม

  3. #3
    Jedi Global Moderator
    Join Date
    Aug 2007
    Location
    Bangkok
    Posts
    136


    คงต้องบอกว่าเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล ของเจ้าของ BLOG
    แต่โดยส่วนตัวเนี่ย ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่ เพราะ หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เน้นที่กรรมคือการกระทำ
    การที่จะบอกว่า สวดมนต์แล้วทำให้ได้ในสิ่งที่หวังเพราะพุทธเจ้าไม่สรรเสริญว่าดีนะครับ

    คุณค่าของการสวดมนต์นั้น ในสมัยพุทธกาลนั้นเขาสวดเพราะต้องการท่องจำให้ขึ้นใจ เพราะในสมัยนั้นการจดบันทึกนั้นยังไม่สะดวก ดังนั้นการจะจดบันทึกทีก็ต้อง สลักลงบนหิน หรือที่สมัยนี้เราเรียกว่าหลักศิลาจารีก
    ดังนั้นพระสงฆ์ หรือฆราวาส(มนุษย์ผู้ครองเรือน) ในสมัยนั้นจะสวดมนต์ โดยรู้ความหมายว่า ที่ท่องบ่นนั้นสอนอะไร จริงๆมันก็คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัส(พูด) ให้พระหรือญาติ โยมในสมัยนั้นฟังนั้นแหละ
    พอภายหลังจึงมีการท่องสืบๆ กันมาเพื่อรักษาหลักธรรม เมื่อวิทยาการสมัยใหม่ทันสมัยขึ้น การเขียนลงสมุด การจารลงบนใบลานจึงเกิดขึ้น
    ภายหลังเราจึงรักษาพระธรรมด้วยการทำเป็นหนังสือ

    ทั้งนี้ทั้งนั้น การสวดมนต์ก็มีประโยชน์ เพื่อรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ แต่จะมีประโยชน์มากกว่า คือสวดภาษาบาลี แล้วควรจะรู้ความหมายของการสวดด้วย เพื่อจะนำคำสอนนั้นไปประพฤติ ปฎิบัติ

    การที่เราต้องการจะได้อะไร ตามต้องการนั้น พระพุทธเจ้าเน้นให้ทำ เช่นการที่เราต้องการเรียนหนังสือเก่ง ได้เกรดดีๆ สิ่งที่ต้องทำคือ สุ จิ ปุ ลิ
    สุตตะ คือ การฟัง ด้วยความตั้งใจ
    จิตตะ คือ เอาใจจดจ่อในสิ่งที่ฟัง
    ปุจฉา คือ เมื่อไม่เข้าใจก็ถาม
    ลิขิต คือ เขียน หรือจำไว้ในใจ
    ถ้าอยากเรียนเก่ง โดยหวังว่าสวดมนต์แล้วช่วยได้นั้น คงเรียนไม่เก่งขึ้นมาหรอก แต่ถ้าต้องการสวดมนต์ให้มีสมาธิ ก็แล้วไป แต่ได้ประโยชน์น้อยกว่า การสวดมนต์โดยรู้ความหมาย ถ้าให้ได้ประโยชน์สูงสุด คือการเอาสิ่งที่สวดไปปฎิบัติ จนเป็นนิสัย ถ้าเป็นนิสัยแล้ว คือดีแล้ว จะสวดหรือไม่สวดก็เหมือนกัน เปรียบได้กับศ๊ล 5 คนที่มีศีลเป็นปกติ เขาไม่ต้องรับศีลกันบ่อยๆ เพราะดีเป็นปกติอยู่แล้ว

    ใครที่ยังเข้าใจผิดในเรื่องหลักธรรมคำสอน ก็แย้งกันได้นะครับ ผมเองไม่ได้เข้าใจในทุกคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่สำหรับเรื่องนี้ผมคิดเห็นอย่างนี้นะครับ

Members who have read this thread : 0

Actions : (View-Readers)

There are no names to display.

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •