เมื่อกว่า 40 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่าวงจรไฟฟ้าพื้นฐานจะสามารถจดจำข้อมูลได้แม้จะไม่มีไฟเลี้ยง แต่แนวคิดนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้จนกระทั่งล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ของ Hewlett-Packard แถลงว่าสามารถพัฒนาวงจรไฟฟ้าพื้นฐานชนิดใหม่ได้สำเร็จ เชื่อว่าจะนำมาปรับใช้เป็นชิปหน่วยความจำที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นแต่ใช้พลังงานน้อยกว่าปัจจุบันมาก สามารถทำให้โทรศัพท์มือถือมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นโดยไม่ต้องการชาร์จไฟบ่อย และสามารถทำให้คอมพิวเตอร์พีซีไม่ต้องเสียเวลาบูตเครื่องอีกต่อไป

วงจรไฟฟ้าชนิดใหม่นี้ถูกเรียกว่า memristor มาจากคำว่า memory resistor นักวิจัยนาม Leon Chua แห่งมหาวิทยาลัย University of California ที่เบิร์กเลย์เป็นผู้ตั้งทฤษฎีว่า memristor จะเป็นวงจรไฟฟ้าที่จดจำข้อมูลได้แม้ไม่มีกระแสไฟเลี้ยง ทฤษฎีถูกตั้งขึ้นเมื่อปี 1970

ขณะนี้ ทีมวิจัยของเอชพีซึ่งนำทีมโดย Stanley Williams ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีนี้เป็นจริง และได้พัฒนาโมเดลทางคณิตศาสตร์และฟิซิกส์เพื่อเป็นเป็นตัวอย่างให้กับ memristor รายละเอียดถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature

Williams อธิบายว่าวงจร memristor ใหม่นี้มีความแตกต่างจากอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปอย่างมาก เนื่องจากไม่มีการใช้ resistor (ตัวต้านทานกระแสไฟ), capacitor หรือ inductor (ตัวนำไฟฟ้า) วงจรไฟฟ้ารุ่นก่อนจะมีลักษณะเหมือนท่อน้ำทั่วไปที่น้ำสามารถไหลไปมาได้มากกว่า 1 ทิศทาง แต่ในวงจร memristor ท่อน้ำจะสามารถจดจำทิศทางการไหลของน้ำได้

การจดจำได้นี้เองที่สามารถนำไปพัฒนาเป็นหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ไม่ต้องบูตเครื่องอีกต่อไป ซึ่งการบูตเครื่องนี้เป็นเพราะหน่วยความจำ dynamic random access memory หรือ DRAM ในคอมพิวเตอร์ทั่วไปนั้นไม่สามารถจดจำข้อมูลได้หากมีการปิดเครื่อง เมื่อมีการเปิดเครื่อง หน่วยความจำจึงต้องเข้าไปดึงข้อมูลซึ่งเก็บไว้ในฮาร์ดไดร์ฟ ทำให้ผู้ใช้ต้องรอเวลาบูตเครื่องทุกครั้ง

"หากคุณเปิดคอมพิวเตอร์ มันจะสามารถใช้งานได้ทันที นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก" Williams กล่าว โดยระบุว่าวงจรไฟฟ้าใหม่นี้สามารถนำไปพัฒนาเป็นอุปกรณ์ไฮเทคขนาดจิ๋วได้ สามารถนำไปพัฒนาให้โทรศัพท์มือถือสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานหลายสัปดาห์หรือมากกว่าโดยไม่ต้องชาร์จไฟ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คอมพิวเตอร์โน้ตฐุ๊กสามารถแสดงข้อมูลล่าสุดก่อนที่แบตเตอรี่จะหมดกระทันหันได้

ยังไม่มีรายงานแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในขณะนี้ แต่เชื่อว่านี่คือแสงทองของอุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฮเทคยุคหน้าแน่นอน