ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะบอกว่า หูฟังแต่ละตัวไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันเลยครับว่าอะไรดีกว่า เพราะว่าหูฟังแต่ละหูมันมีนิสัยของมันครับ ซึ่ง นิสัยนี้แหละมันจะเข้ากับตัวเจ้าของหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ฟังครับ แต่ละคนย่อมชอบอะไรที่ไม่เหมือนกันครับ ดังนั้นมันจึงเปรียบเทียบกับไม่ได้เลยว่าหูนี้ดีกว่าหูนั้น หูโน้นเสียงดีกว่าหูนี้
เมื่อใดที่สนใจหูแบบไหน ให้อ่านคร่าวๆครับ แล้วอ้างอิงกับความรู้สึกเราว่า เอ๊ะ! หูฟังเสียงลักษณะนี้มันเข้ากับสไตล์ของเราหรือไม่ ไม่ใช่ว่า เค้าบอกกันว่าเสียงดีปาวๆ ก็ไปเชื่อ แล้วก็แห่แหนกันไปซื้อเหมือนกันหมด สุดท้ายก็มาบ่นกันว่าเสียงไม่เห็นดีเลย... ก็มันจะไปดีได้ไงครับในเมื่อเราไม่ชอบ เหมือนของกินน่ะครับ
อย่างเราชอบกินปลา แล้วก็บอกให้คนอื่นฟังว่าปลาอร่อยอย่างงั้นอย่างงี้ แต่คนอื่นเค้าก็อาจจะไม่ได้ชอบแบบเดียวกับเราก็ได้ครับ บางคนไม่ชอบเพราะมันคาว แต่ชอบกินเนื้อวัวมากกว่า ส่วนเราก็อาจจะไม่ชอบเนื้อวัวเพราะไม่ชอบกลิ่นของมันเช่นกัน ซึ่ง ต้องจำไว้ในใจอย่างนึงว่า ถ้ายังไม่ได้ลอง อย่าตัดสินใจซื้อครับ... ความชอบ และสไตล์ ไม่อาจวัดได้จากข้อความไม่กี่บรรทัดครับ
ระดับของหูฟังก็เช่นกันครับ การที่เค้าแบ่งระดับไว้แล้ว อย่าง Hi-End , Middle-End , Low-End สิ่งที่ได้มันก็ควรจะเป็นตามนั้นครับ อย่าง MX300 เสียงมันก็ทำได้เท่านั้นแหละครับ หรือ EP630 มันก็ทำได้เท่าที่ class มันเป็น การที่มีบางคนบอกว่าเสียงดีกว่า ER6i นั่นก็เพราะเค้าไม่ใช่คนที่ชอบฟังเพลงสไตล์ของหูฟังแนว flat แบบนั้นครับ ดังนั้น ให้ตั้งไว้ในใจว่าเราชอบเสียงแบบไหน อยากได้อะไร ฟังเพลงในแนวๆไหน จากนั้นให้หารายละเอียดแล้วอ่านดูว่า หูไหนที่ตรงใจเราที่สุด ก็ให้เลือกเอาหูนั้นเป็นที่ตั้งครับ จากนั้นก็ให้ไปลองฟังดูว่าถูกใจไม๊ พยายามพกเพลงไป test ในแนวที่เราชอบด้วย แล้วเราก็จะได้หูที่ถูกใจเราที่สุดครับ
กรณีที่หูบางอันไม่สามารถลองได้ ก็ต้องพยายามอ่านให้เยอะๆแล้วเทียบ spec กับความต้องการเราน่ะครับอย่าเสี่ยงวัดดวงซื้อ ไม่งั้นจะเศร้าเหมือนกับหลายๆคนที่ได้หูถูกใจในกระทู้ แต่ไม่ถูกใจตัวเองครับ จำไว้ครับไม่มีหูใดดีกว่าหูใด ( ในกรณีเทียบชั้นใน class เดียวกัน ) มีแต่ตรงใจกับไม่ตรงใจเท่านั้นครับ
ถ้าอ่านแล้วชอบใจกัน ผมจะเอามาลงเรื่อยๆนะครับ![]()
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[hide=1]
:!: :!: !!!Etymotic ER4P!!! :!: :!:
Etymotic จริงๆเป็นยี่ห้อที่ทำตลาด IEM มานานมากๆแล้วครับ นานพอๆกับ Shure และ Westone ทีเดียว และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทาง Etymotic ก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนรูปแบบหูฟังกับเค้าบ้างเลยครับ เมื่อ 10 ปีก่อนขายยังไง 10ปีต่อมาก็ขายแบบนั้น แต่ก็ยังมีคนอุดหนุนซื้อหูฟังยี่ห้อนี้อยู่เรื่อยๆทั้งๆที่ไม่เคยเปลี่ยนรูปแบบเลย
แล้วหูฟังนี้มีดีตรงไหนกัน???
Etymotic ER4 Series นั้น ความจริงมีออกมาหลักๆ 3 รุ่นครับ นั่นคือ ER4P , ER4S และ ER4B ซึ่งแต่ละตัวล้วนใช้ Driver ตัวเดียวกันทั้งหมดครับ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ ER4P เป็นตัวหลักของ Series นี้ โดยใช้ชื่อเป็นทางการว่า ER4 microPro ส่วน ER4S ก็คือ ER4P ที่เปลี่ยนจากสายเดิมมาเป็นสายแบบ 100 โอห์ม ซึ่งมีผลทำให้ขับยากขึ้น จึงต้องอาศัยฟังผ่านแอมป์อย่างเดียว ข้อดีคือเสียงจะอิ่มขึ้น ข้อเสียคือต้องมานั่งพกแอมป์ครับ ส่วน ER4B จะไปเน้นในเรื่องของการใช้งานแบบ Studio เป็นหลัก จริงๆก็ใช้ใน Studio ทั้งหมดแหละครับ แต่ตัวนี้จะพิเศษหน่อย เพราะรหัส B นั้นมาจาก binaural mic ซึ่ง binaural mic เป็นไมค์ชนิดหนึ่งที่จะมีช่องรับเสียงสองช่องโดยเป็นอาการออกแบบตามหลักการได้ยินของหูมนุษย์ครับ
ข้อดีของการใช้ไมค์ชนิดนี้ในการอัด จะทำให้ได้มิติของเสียงที่เป็นธรรมชาติมากๆครับ ระยะใกล้ๆจะมีความสมจริงที่สุด ข้อเสียคือจะยุ่งยากในการอัดและ control เรื่องเสียงใน system ได้ลำบากทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักครับ แต่ที่ผมลอง ER4B รู้สึกว่าเสียงจะโดนจูนไปจนจัดจ้านกว่า ER4P ธรรมดาอีกครับ
มาว่ากันที่ ER4P นะครับ
ตัว ER4P จะมาพร้อมกับจุกยางแบบ Triple Frange หรือจุกยางแบบ 3 ชั้นนั่นเองครับ จุกยางแบบนี้จะให้เสียงที่เหมาะกับ ER4P ที่สุดครับ แต่ใส่ใหม่ๆจะเจ็บมากๆ เพราะต้องยัดลึกๆ ถ้ายัดไม่ลึกเสียงก็จะแห้ง เบสก็จะหายครับทำให้เจ็บพอสมควรแถมตอนถอดออกมายังไปช้อนงัดแงะเอาสิ่งที่อยู่ภายในหูเราออกมาอีก เรียกว่าทำงานได้ดีกว่าไม้แคะหูเยอะเลยครับ ใครเบื่อๆที่หาคนแคะหูให้ไม่ได้ก็ลองใช้ Triple Frange นี่แหละครับ
เสียงโดยรวมของ ER4P จะค่อนข้างจัดจ้านเอามากๆครับ เสียงจะออกแสบๆแห้งๆนิดๆ แตกต่างกับของ ER6i ตรงที่ความแสบแห้งนี่แหละครับ เพราะ ER6i จะให้เสียงที่ฉ่ำกว่าและเป็นธรรมชาติกว่านิดนึงแต่เบสสู้ ER4P ไม่ได้เลย ER4P ให้เบสที่ Impact กว่า Er6i มากๆ แต่ขนาดของเบสค่อนข้างเล็กไปหน่อย เป็นเบสที่เล็กแต่แน่นและไม่มี Deep Bass เท่าไหร่นัก ยังดีที่ Middle Bass ยังโอเคอยู่ เวลามีเพลงที่เดินเบสต่อเนื่องก็ยังให้อารมณ์ในการฟังได้ดีครับ
การแยกชิ้นดนตรีของ ER4P มีเอกลัษณ์ไม่เหมือนใครเลยครับ เพราะทุกชิ้นดนตรี ทุกๆ image แม้แต่เสียงร้อง จะถูกบีบ Focus ให้เล็กลงมา เรียกว่าเล็กกว่าที่หูฟังทั่วๆไปจะทำกันอีกครับ ทำให้มีพื้นที่ว่าง ( Space of Soundstage ) จากการที่ตำแหน่งดนตรีถูกบีบลงไปมาก เลยเกิดความรู้สึกที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ? สะอาด ? ครับ ถ้าเกิดไปถามคนที่เคยฟัง Etymotic จะต้องได้ยินเค้าบอกเหมือนกันว่า เสียงออกสะอาดๆ
และที่มันสะอาดก็เพราะว่าชิ้นดนตรีถูกแยกจนไม่มารบกวนกันทำให้ไม่รู้สึกว่ามันรกแต่อย่างใดครับ แม้แต่เสียงร้องยังถูกบีบจนเล็กเลยครับ ข้อดีคือทำให้สามารถได้ยินเสียงดนตรีทุกชิ้นได้จนครบและจับเสียงได้ง่าย แม้หูฟังตัวนี้จะไม่ได้ให้ soundstage กว้างมากนักและเสียงกลางก็ไม่ได้ลึกมากมาย แถมยังให้ลักษณะ Soundstage เป็นรูปวงกลมด้วยซ้ำ แต่เสียงก็ไม่กวนกันเลย และยังรับรู้ถึงการมีอยู่แต่ละชิ้นดนตรีได้ด้วย ข้อเสียคือ image มันเล็กจนเกินไปครับ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้กำลังฟังเพลง เหมือนกำลังทำงานแยกเสียงแต่ละชิ้นอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าความเป็นดนตรีต่ำครับ แต่บางคนก็ชอบแบบนี้นะ
เสียงร้องจะค่อนข้างแห้งแหลมและเล็กครับ ไม่ค่อยมีความอิ่มเหมือนกับหูฟัง IEM ยี่ห้ออื่นเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่บอกครับ การแยก image ของแต่ละย่านตัวนี้จะทำได้ดี ดังนั้นเสียงร้องจึงค่อนข้างชัด และถ้าเกิดมีการร้อง Duet เมื่อไหร่ ตัวนี้จะแยกเสียงร้องคู่ได้ดีเอามากๆครับ
ในส่วนของเสียงย่านกลางนั้นกลับทำได้ไม่ดีนักครับ กลองกลายสภาพเป็นกลองที่ขาดน้ำหนัก จังหวะการลงกลองดูเหมือนคนไม่มีแรงตีเอาซะเลยครับ ถึงแม้จะมีการแย่งแยกตำแหน่งที่ชัดเจนแต่กลองขาดน้ำหนักแบบนี้ก็ไม่ไหวล่ะครับ แต่ถ้าฟังแจ๊สที่เน้นกลองนุ่มๆ ตัวนี้ก็พอถูไถไปได้ครับ
สำหรับเสียงสูงนั้น ตัวนี้ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ dynamic เสียงสูงค่อนข้างสัมผัสได้ชัดเจน เสียงไลน์กีต้าร์ก็ได้ยินชัดและสามารถสัมผัสแต่ละเส้นได้ดีพอสมควร ปลายสูงค่อนข้างพลิ้วและลากได้ขึ้นถึงเกือบสุดครับ แต่ก็เป็นเสียงสูงที่ออกแห้งๆและจัดจ้านไปนิด เสียงยังไม่จัดเท่ากับหูฟังอย่าง Grado Ms-Pro และ Rs-1 แต่ผมก็รู้สึกว่ามันแสบๆนิดๆเหมือนกันครับ
spec
===
Frequency response: 20 Hz to 16 kHz