โรคไข้หวัดใหญ่อาจแบ่งไปได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้คือ
ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ไข้หวัดใหญ่ที่มีภาวะแทรกซ้อน
โรคอื่น ๆ ที่อาจสัมพันธ์กับไข้หวัดใหญ่
1. ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
1.1 ไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูงเฉียบพลัน (38°-40° ซ.) ภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากที่ได้รับเชื้อ ระยะฟักตัวของโรคมักจะสั้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณของไวรัสที่ได้รับ อาจจะนานถึง 4-5 วัน หรืออาจสั้นเพียง 24-48 ชั่วโมงก็ได้ อาการนำมักจะเริ่มด้วยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ตามมาด้วยไข้สูง ปวดศรีษะ หนาวสะท้าน และมีอาการไอแห้ง ๆ ในวันแรกที่ป่วย ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่บางรายอาจจะมีอาการทางระบบหายใจน้อย แต่มีอาการไม่สบาย ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว และปวดหลังมากกว่า อย่างไรก็ตามอาการคัดจมูกมักจะพบบ่อยและอาการที่ร่วมด้วยก็คือ คอแห้งและคันคอ มากกว่าที่จะมีอาการเจ็บคอ ในบางรายอาจจะมีน้ำมูกไหลอย่างมาก และมีอาการจามด้วย ตาแดงและน้ำตามักจะไหล ต่อมาเมื่อมีอาการไอมากขึ้นมีอาการเจ็บบริเวณกลางอก ถึงแม้ว่าคอแดงแต่ไม่มี exudate ต่อมน้ำเหลืองที่คอไม่โต เสียงแหบ หรือบางรายเสียงแห้งหายไปก็ได้ ผู้ป่วยจะนอนหลับไม่สนิท เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และเวียนศรีษะด้วย ลิ้นมักจะปกติ แต่อาจมีกลิ่นปากบ้าง ในรายที่ได้นอนพัก อาการโดยทั่วไปมักไม่รุนแรง ภายใน 3-4 วัน ไข้จะลดลงสู่ระดับปกติและส่วนใหญ่จะลดลงในเวลาไม่เกิน 5 วัน แต่จะยังคงมีอาการอ่อนเพลีย และมีอาการ ไอมีเสมหะเป็นก้อน ๆ ต่อไปอีก 2-3 วัน ผู้ป่วยจะกลับไปปฏิบัติงานได้ตามปกติภายใน 7-10 วัน
ในระหว่างที่โรคกำลังดำเนินอยู่ การตรวจทางกายภาพ อาจจะได้ fine rale เป็นหย่อม ๆ หรืออาจพบว่ามีเสียงหายใจเบาลง การถ่ายภาพ รังสีปอด พบว่าปกติ ในรายที่มีโรคปอด-หลอดลมอยู่เดิมอาจฟังได้เสียง rale และ wheezing rhonchi ได้ ชีพจร การเต้นหัวใจมักจะช้าลงมากกว่าที่จะเต้นเร็วกว่าปกติ ความดันโลหิตจะสูงขึ้นในระหว่างที่มีไข้ ยกเว้นในรายที่มีโรคหัวใจอยู่เดิม หรือ ผู้ป่วย สูงอายุอาจพบว่าลดต่ำลง ในคนปกติจะไม่พบ extrasystole แต่ใน EKG อาจพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของ T waves และ S-T segments ได้บ้างเล็กน้อย ในรายที่มีรอยโรคที่ลิ้นหัวใจ มักจะมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบอย่างรุนแรง ESR มักอยู่ในเกณฑ์ปกติ และเม็ดเลือดขาวก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ
1.2 ไข้หวัดใหญ่ในเด็ก
อาการจะขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วยด้วย หากผู้ป่วยเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ มักจะมีอาการชัก มี croup หรือภาวะแทรกซ้อนทางปอด ซึ่งจะต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เด็กมักจะไอมาก อาเจียนและบางรายมีอาการคอแห้ง แต่การตรวจ CSF พบว่าปกติ ในบางรายอาจมีไข้สูงอยู่นานวัน เบ็นเน็ทได้ศึกษาผู้ป่วย จำนวน 185 ราย ในกลุ่มอายุต่าง ๆ ใน นครเมลเบอร์น เมื่อปี พ.ศ. 2516 พบว่ามีอาการต่าง ๆ กัน
1.3 ไข้หวัดใหญ่ในหญิงมีครรภ์และผลต่อทารกในครรภ์
สตรีมีครรภ์จะมีอันตรายสูงหากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ในระยะไตรมาสที่ 3 พบว่าอันตรายค่อนข้างสูง ในระหว่างการระบาดเมื่อปี พ.ศ. 2500 ผู้ป่วยมักจะมีภาวะแทรกซ้อนทางปอดอย่าง รุนแรงและทารกอาจจะถึงแก่กรรมด้วย ยิ่งในรายที่มีลิ้นหัวใจไมตรัลตีบ ภาวะแทรกซ้อนทางปอดจะพบในอัตราที่สูงขึ้นด้วย
สำหรับทารกในครรภ์ อาจจะได้รับผลจากการที่มารดาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ อาจจะตายระหว่างคลอดหรือหลังคลอดใหม่ ๆ อาจคลอดก่อนกำหนด อาจมีความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
2. โรคไข้หวัดใหญ่ที่มีภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนต่อทางเดินหายในส่วนล่าง ระบบหัวใจ หลอดเลือด และระบบประสาทกลาง แต่ส่วนใหญ่จะเกิดที่ทางเดินหายใจ ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่เพิ่มจำนวน เยื่อบุทางเดินหายใจจะถูกทำลายอย่างมาก (epithelial necrosis)
2.1 ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
2.1.1 Tracheo-bronchitis และ bronchiolitis
ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงจนต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล จะมีอาการไอมีเสมหะมาก เจ็บกลางอก แน่นหน้าอก และหายใจมีเสียงหวีดทั่วปอด มักจะเกิดในผู้สูงอายุและผู้ที่มี chronic obstructive bronchitis อยู่เดิม ภาพรังสีปอดจะปกติ
2.1.2 Influenzal pneumonia
ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบ เจ็บหน้าอก ไอมีเสมหะมาก เสมหะมีลักษณะเป็นมูก หรือเป็นฟอง ๆ และมักมีเลือดติดออกมาด้วย ซึ่งแสดงว่าถุงลมเกิดการอักเสบแล้ว ตรวจพบ rale เสียงเหมือนฟองน้ำ (bubbling rale) เคาะปอดทึบ แต่ภาวะแทรกซ้อน อื่น ๆ เช่น empyema มักไม่ใคร่พบ ภาพรังสีปอดจะเห็นว่าปอดอักเสบอย่างชัดเจน การเกิดปอดบวมนี้จะเกิดจากไวรัสเอง (primary influenzal pneumonia) หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมก็ได้ (staphylococcus, hemophilus และ pneumococcus) ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดลม-ปอด อยู่เดิมหากเกิดเป็นปอดบวมอัตราตายจะสูงมาก
2.2 ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ
ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า ในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจอยู่เดิมมักจะมีภาวะแทรกซ้อนทางปอดในอัตราที่สูง สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่หัวใจโดยตรงนั้นได้แก่ myocarditis นอกจากนั้น อาจจะพบการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เช่น การเปลี่ยนแปลงของเสียงหัวใจ การเปลี่ยนแปลงในอัตราการเต้นของหัวใจ หรือในคนที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจอยู่เดิมอาจพบว่ามี congestive heart failure ได้
ในผู้สูงอายุอาจพบว่ามี ความดันโลหิตลดต่ำลงและถึงแก่กรรมปุปปับก็ได้ มีผู้เคยแยกเชื้อ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้จากกล้ามเนื้อหัวใจด้วย ในบางกรณีอาจมีการอักเสบของเยื่อหุ้มด้วยก็ได้ ผู้ที่เสี่ยงสูงที่จะได้รับอันตรายในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหัวใจ ได้แก่ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและผู้ที่ป่วยเป็น ischemic heart disease
2.3 ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท
อาจพบว่ามี encephalitis หรือ encephalopathy มักเกิดแก่ผู้ป่วยเด็ก นอกจากนั้น พบว่าอาจเกิด Guillain-Barre syndrome ก็ได้
3. โรคอื่น ๆ ที่อาจสัมพันธ์กับไข้หวัดใหญ่
3.1 Reye’s Syndrome
โรคนี้คือกลุ่มอาการ encephalopathy ที่มี fatty liver ร่วมด้วย มักเกิดแก่เด็ก เกิดภายหลังจากที่มี viral infections หลายชนิด รวมทั้ง Influenza A และ B ด้วย กลุ่มอาการนี้จะพบบ่อยในรายที่ได้รับยาลดไข้ประเภทแอสไพริน
3.2 Diabetic Ketosis
ในรายที่เป็นโรคเบาหวานแล้วป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ อาจนำไปสู่ภาวะ diabetic ketosis และถึงแก่กรรมได้ รายที่ตายพบว่า ระดับโปแตสเซียมในซีรั่มจะลดต่ำลงด้วย
ชื่อไวรัชที่ก่อให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่
ก่อนที่จะเข้าใจวิทยาการระบาดภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่ ตลอดจนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องอธิบายลักษณะทางชีววิทยาในระดับอณูของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ตลอดจนลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางแอนติเจนของไวรัสไข้หวัดใหญ่เสียก่อน จึงจะมีความเข้าใจง่ายขึ้น
รูปพรรณสัณฐานและส่วนประกอบทางเคมีและอิมมูโนเคมี
1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีรูปพรรณสัณฐานเป็นสองแบบ จะเป็นรูปทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 80-120 นาโนเมตร หากเพาะเลี้ยงเชื้อไปนาน ๆ มักมีรูปพรรณ ยาวเป็นสาย
2. ตรงใจกลางของอนุภาคไวรัสจะมีจีโนมซึ่งเป็นกรดไรโบนิวคลีอิค หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า อาร์เอ็นเอ (RNA) นั่นเอง ซึ่งจะแยกกันอยู่ 7-8 ชิ้นด้วยกัน อาร์เอ็นเอจะขดอยู่เป็นรูปบันใดเวียนอยู่กับแค๊พสิดซึ่งเรียกชื่อรวมว่าเป็น นิวคลีโอโปรตีน (nucleoprotein หรือ RNP) การที่มีจีโนมแยกกันเป็นชิ้น ๆ หลายชิ้นนี่เองทำให้เกิดมีโอกาสที่จะเกิด recombination และ reassortant ทำให้เกิดสายพันธุ์หรือ subtype ใหม่ ๆ ได้เสมอ
3. มีเปลือกหุ้มสองชั้น ชั้นในเป็น lipoprotein เรียกว่า M หรือ membrane protein ที่เปลือกนอกสุดจะมีปุ่มยื่นออกไป 2 ชนิด มีคุณสมบัติทางเคมีเป็น glycoprotein ซึ่งทางอิมมูโนเคมีถือว่า มีคุณสมบัติเป็นแอนติเจน และแบ่งออกไปได้ 2 ชนิด ชนิดที่หนึ่งเรียกชื่อว่า ฮีแม็กกลูตินิน (Hemagglutinin หรือ H) ชนิดที่ 2 เรียกว่า นิวรามินิเดส (Neuraminidase หรือ N) ทั้ง H และ N มีความสำคัญในการติดเชื้อ (Infectivity) และมีความสำคัญทางด้านอิมมูนของโฮสท์ H เป็นส่วนที่ ไวรัสใช้ไปเกาะติดกับเซลล์ ในโมเลกุลของฮีแม็กกลูตินินจะมี binding site สำหรับ neutralizing antibody อยู่ ดังนั้นแอนติบอดีย์ที่ร่างกายสร้างต่อฮีแม็กกลูตินิน จึงเป็น protection antibody (แผนภูมิที่ 1)
N นอกจากจะเป็นแอนติเจนแล้วยังเป็นเอ็นซัยม์ ทำหน้าที่ย่อย receptor site บนผิวเซลล์ที่จับกับฮีแม็กกลูตินินของไวรัส ทำให้ไวรัสหลุดเป็นอิสระ เอ็นซัยม์นี้จะช่วยในการปล่อยไวรัสที่เกิดขึ้นใหม่ที่อยู่ภายในเซลล์ให้ หลุดจากเซลล์
ที่ติดเชื้อทำให้ไวรัสแพร่ต่อไป สู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ต่อไป แอนติบอดีย์ต่อนิวรามินิเดส ไม่เป็น protective antibody
การป้องกัน
ดังที่ทราบกันแล้วว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ A เกิดมีทั้ง antigenic drift และ antigenic shift (แผนภูมิที่ 3) จึงทำให้มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิด A อยู่เสมอ ๆ สำหรับไวรัสไข้หวัดใหญ่ B ก็มีการระบาดแทรกปนอยู่เป็นระยะ ๆ การป้องกันโดยการอนามัยส่วนบุคคล การแยกตัวผู้ป่วยจึงไม่เพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ มีโรคประจำกาย และผู้สูงอายุจะติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น การป้องกันโดยการใช้วัคซีน จึงเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะนำมาใช้ป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้หวัดใหญ่ นอกจากจะป้องกันการเจ็บป่วยแล้วยังจะเป็นการป้องกันมิให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ตามมาด้วย เป็นที่ทราบดีว่าถ้าเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ณ ภูมิภาคใดก็ตาม หากเป็นเชื้อที่มี antigenic shift โรคอาจจะแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกได้ ภายในเวลาเป็นเดือนเท่านั้น การป้องกันไว้ล่วงหน้าสำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการป่วยและเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ถึงกระทำ ยิ่งการคมนาคมในปัจจุบันสะดวกมากขึ้น การแพร่กระตายยิ่งจะไปได้เร็วยิ่งขึ้น องค์การอนามัยโลกได้จัดตั้ง National Influenza Center ขึ้น 110 แห่งใน 80 ประเทศ ทุกทวีป เพื่อทำการเฝ้าระวังแยกเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และมีศูนย์ระหว่างชาติอยู่ 3 แห่ง คือ World Influenza Center ที่มหานครลอนดอน สหราชอาณาจักร WHO Collaborating Reference Centers for Research Against Influenza ที่นครแอตแลนต้า มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา และที่นครเมลเบอร์น ออสเตรเลีย ทำหน้าที่เป็น reference center ทุก ๆ ศูนย์ จะร่วมมือกัน แยกเชื้อวิเคราะห์ลักษณะทางแอนติเจน เพื่อดูว่ามี antigenic drift และ antigenic shift ประการใดและคัดสายพันธุ์ที่พบบ่อยและเหมาะที่จะนำไปใช้ผลิตวัคซีนป้องกัน การระบาดในฤ
ดูกาลระบาดของปีนั้นและปีถัดไปของทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลก ใต้ ซึ่งระยะเวลาการระบาดจะไม่พร้อมกันทีเดียว แต่ละปีจะต้องใช้ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A 2 สายพันธุ์ ร่วมกับไวรัส ไข้หวัดใหญ่ B อีกหนึ่งสายพันธุ์ เพื่อให้ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี องค์การอนามัยโลก จะจัดประชุมเพื่อคัดสายพันธุ์ที่จะใช้ผลิตวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันไข้หวัด ใหญ่ในฤดูกาล
ระบาดต่อไป สำหรับทางซีกโลกใต้จะมีการประชุมที่นครเมลเบอร์นในปลายเดือนกันยายน เพื่อดัดแปลงสายพันธุ์ที่เหมาะกับการป้องกันโรคที่ระบาดในภูมิภาคนั้น ประเทศที่เข้าร่วมประชุมได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหภาพอาฟริกาใต้
จาก kimheseoncity