80 เรื่องของในหลวงที่เรา (อาจ) ไม่เคยรู้
>
> > เมื่อทรงพระเยาว์
> >
> > 1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
> > 2. นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6
> ปอนด์ 3. พระนาม”ภูมิพล”ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเ
> กล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ
> พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช 5. ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
> > 6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา
> ทรงเคยเข้าเรียนที่ โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H
> Bhummibol Mahidol”หมายเลขประจำตัว 449
> > 7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า”แม่”
> > 8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
> > 9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย
> เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผัก มาปลูกเพิ่ม
> > 10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง
> แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้ง หนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
> > 11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย
> ทรงตั้งชื่อให้ว่า”บ๊อบบี้” 12. ทรงฉลองพระเนตร (แว่นสายตา)
> ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกต
> เห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อย ๆ
> > 13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า
> โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะ ทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว
> > 14. ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์
> โดยระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทย กับสมเด็จย่าเสมอ
> > 15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก”การให้”โดยสมเด็จย่าจะทรง
> ตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า”กระป๋องคน จน”หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร
> จะต้องถูก”เก็บภาษี”หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือน
> สมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋อ งนี้ไปทำอะไร เช่น
> มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
> > 16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน
> เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า”ลูกอยากได้จักรยาน
> ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก
> ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”
> > 17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget
> ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
> > 18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
> >
> > พระอัจฉริยภาพ
> >
> >
> > 19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก”การเล่น”สมัยพระเยาว์
> เพราะหากอยากได้ของเล่น อะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง
> ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระเชษฐาซื้อชิ้นส่วนวิทยุที ละชิ้นๆ
> แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
> > 20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิป ระเทศของไทย
> โดยโปรดเกล้าฯให้ โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ
> เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
> > 21. ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่
> เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
> > 22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา
> ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น
> โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้ 23.
> ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
> > 24. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา
> เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ”แสง เทียน”
> จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
> > 25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง
> บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรง
> เกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5
> เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลาย เป็นเพลง”เราสู้”
> > 26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า
> และ รัชกาลที่5 27. - - - -
> > 28. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย
> ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วน พระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไ
> ทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวม
> ทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
> > 29. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง”นายอินทร์”และ”ติโต” ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์
> แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่ พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
> > 30. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน
> สกี และเรือใบ ทรงเคย ได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค
> ในกีฬาแหลมทอง (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น”กีฬา ซีเกมส์”) ครั้งที่ 4 ปี
> พ.ศ.2510
> > 31. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรั
> สกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับ เข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า
> ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้
> เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
> > 32. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธ
> ิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติม อากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย
> หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536 33.
> ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุก
> ารเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊ส โซฮอล์, ดีโซฮอลล์ และ
> น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว 34.
> องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์
> แด่ในหลวงเมื่อ วัน ที่ 26 พฤษภาคม 2549
> เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาช ีวิตความเป็นอยู่ของ
> ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ
> เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
> >
> > เรื่องส่วนพระองค์
> >
> > 35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช
> มหิตลาธิเบศรรามา ธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
> > 36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด ์
> แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระ บรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น
> เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่า จะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4
> โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง 37.
> ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492
> และจัดพระราชพิธีราชาภิเษก สมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493
> โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความใน
> สมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์
> เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท 38. หลังอภิเษกสมรส ทรง”ฮันนีมูน”ที่หัวหิน
> > 39. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
> เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา
> 15 วัน
> > 40. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร
> สมเด็จพระสังฆราช
>
>
> ค่อยๆอ่านล่ะกัน....เราคนไทยควรรู้เรื่องของพ่อเรา...
>
>
> > 41. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม
> ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำ เป็นจะต้องเป็นของแพง
> อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
> > 42. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ
> ของมีค่าต่างๆ ยก เว้น นาฬิกา
> > 43. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว :
> ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้าง
> วัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
> > 44. หลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ
> โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏ รอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด
> ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม 45.
> วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต
> มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า
> พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า
> สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล
> เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่
> ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
> >
> > งานของในหลวง
> >
> > 46. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000
> โครงการ 47. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำ
> พระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง (ตัดต่อเอง ปะกาวเอง)
> กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
> > 48. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเ นียว
> กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่ เข้าเฝ้าฯถวายงาน
> > 49. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใ หญ่
> เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมา ถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก
> ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็น ดังนั้น
> จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม
> แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน 50.
> ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน
> โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วม กับข้อมูลจากต่าง
> ประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประช าชน
> 51. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน
> 32,866.73 บาท ซึ่ง ได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์
> จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆ เติบโตเป็นโครงการพัฒนามา
> จนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
> > 52. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯ สวนจิตรลดา
> ในหลวงจะเสด็จฯ ลงมา อธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
> > 53. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า
> เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า
> “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
> เพราะเดิมพันของเรานั้นสูง เหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง
> คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
>
> > 54. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน
> แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระ ดูกสันหลังในอีก 5
> ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549)
> ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เด ินสายออนไลน์ไว้
> เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์
> เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
> >
> > ของทรงโปรด
> >
> > 55. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก
> ผัดถั่วลันเตา 56. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
> > 57. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
> > 58. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย
> โดยใช้สระว่ายน้ำในพระ ตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง
> แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
> > 59. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
> 60. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศสของยูบีซี
> เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก 61. ทรงฟัง จส.100
> และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100 ด้วย โดย
> ใช้พระนามแฝง
> > 62. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม
> ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุก ฉบับ
> และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ
> ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก 63. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย
> เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อ ในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501
> เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ
> จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
> > 64. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8
> ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์
> โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่อง พยากรณ์ แผนที่
> ฯลฯ
> > 65. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล
> ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกล กังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
> >
> > รู้หรือไม่?
> >
> > 66. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัว ว่า
> “นายหลวง” ภายหลัง จึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
> > 67. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ
> สเปน 68. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆ
> ทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”
>
> > 69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา
> เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์
> รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา
> ตอนนั้นมี อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว
> ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
>
> > 70. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับใน หลวงว่า
> แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็น
> แซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์
> ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนัก มาก
> ยกไม่ไหวหรอก”
> > 71. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
> 72. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ
> เนื่องจากติดเชื้อ ไมโครพลาสม่า
> ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
> > 73. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที
> ่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์ จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
> > 74. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ห ัว
> เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค
> มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
> > 75. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29
> ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่า เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ
> 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3
> ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
> > 76. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
> > 77. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
> > 78. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า
> การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่ง รวมกัน
> ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
> > 79 - - - -
> > 80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน
>
> ปล. บางข้อ เป็นตัว ---- ซึ่ง ผมคัดลอกมา ไม่ทราบสาเหตุ
> ส่วนข้อสุดท้ายคงจะพิมพ์ไม่จบ ต้องกราบขออภัยมาณที่นี้ด้วย
> -------------------------------------------------------------------------------------
> ข้าพเจ้า คือ 'ข้า ในพระองค์' ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นคนไทย ขอ ทำความดี
> ถวายพระองค์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพเจ้าปฎิญาณว่า จะ ขอปิดทองหลังองค์
> พระปฏิมา และ ไม่เสียดายชีวา ถ้าสิ้นไป ความหวังอันสูงสุดของข้าพเจ้า คือ
> การได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระองค์ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
> ได้กราบแทบเท้าเบื้องพระยุคลบาท ของพระองค์สักครั้ง
>
> ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า
>
> คำปฏิญาณที่ได้ให้ไว้ ข้าพเจ้า ขอสาบานด้วยชีวิต
> จะไม่มีวันละทิ้งคำปฏิญาณนี้โดยเด็ดขาด