คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช
รศ.พญ. ปรียานุช แย้มวงษ์
อายุรแพทย์ด้านโภชนศาสตร์คลินิก
พวกเราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของคนอยากผอมจนทำให้เสียชีวิตกันมาบ้าง เกิดอะไรขึ้นกับคนกลุ่มนี้ เรามาดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ
เป็นธรรมดาที่คนอยากผอม จะพยายามระวังอาหารของตัวเองอย่างมาก แทบจะนับพลังงานและแคลอรีที่กินเข้าไปตลอดเวลา ถ้าจะถามว่าอะไรคือสาเหตุของการอยากผอม คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการอยากมีรูปร่างตามค่านิยมของสังคมและแฟชั่น หรืออาจเพราะความจำเป็นทางอาชีพ เช่น ดารา นางแบบที่ต้องการผู้ที่รูปร่างผอมบาง เพื่อเวลาเข้ากล้องจะได้ไม่ดูอวบอิ่มจนเกินไป
สำหรับคนอยากผอมทั่วไป มักใช้การจำกัดอาหาร และกินอาหารที่มีพลังงานต่ำ บวกกับการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงาน ซึ่งถ้าปฏิบัติตามนี้อย่างสม่ำเสมอก็คงเห็นผลในเร็ววัน แต่หลายรายไม่สามารถทำได้ จึงอาศัยยาเป็นที่พึ่งหลัก โดยที่ไม่รู้ว่ายานี่แหละเป็นตัวการสำคัญนำไปสู่ความหายนะทั้งต่อตนเองและครอบครัว
ทั้งนี้ ยาเพิ่มน้ำหนักที่ใช้กันอยู่ตามท้องตลาด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มที่ลดการดูดซึมของไขมัน ไม่ค่อยมีผลแทรกซ้อนที่รุนแรงมากนัก ถ้ากินอาหารมันมาก ก็จะ ท้องเสีย กลั้นอุจจาระไม่อยู่ ผายลมออกมาเป็นน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่อาจทำลายความมั่นใจและทำให้เกิดความกังวลบ้าง
2. กลุ่มที่ทำให้หิวน้อย เป็นยาที่ผลิตออกมาในระยะหลัง แต่ยังมีผลข้างเคียง เช่นปากแห้ง คอแห้ง ปวดศีรษะ และความดันโลหิตสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีราคาแพงมาก
3. กลุ่มที่ทำให้ไม่อยากอาหาร มีผลเสียหลายอย่าง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง หงุดหงิด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น บางชนิดทำให้เกิดแรงดันในปอดสูงขึ้น โรคลิ้นหัวใจรั่ว เกิดเลือดออกในสมองได้ ยาพวกนี้แม้จะไม่มีจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว แต่ยังสามารถสั่งโดยตรงทางอินเทอร์เน็ตจากประเทศจีนได้ เคยมีข่าวที่ผู้ป่วยสั่งยามาใช้เองและเกิดเสียชีวิตในประเทศสิงคโปร์มาแล้ว
นอกจากนี้ปัญหาจากการใช้ยาเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มที่ 2 และ 3 อีกอย่างคือ เมื่อหยุดใช้ จะหิวและเจริญอาหารมาก ๆ จนน้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรายน้ำหนักเพิ่มมากกว่าก่อนใช้เสียอีก จนต้องกลับไปใช้ยาอีก ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเพิ่มๆ ลด ๆ ที่เรียกว่า Yo-Yo effect ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก
แค่นี้ก็แย่แล้ว แต่ที่ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือผู้ที่จิตใจอยากผอมผิดผู้ผิดคนโดยที่ตนเองไม่รู้ว่ากำลังเข้าข่ายเป็นโรคอยากผอม
โรคอยากผอม
มีอยู่ 2 โรค และมักเป็นกับวัยรุ่นผู้หญิง นั่นคือ โรค “อโนเร็กเซีย เนอร์โวซ่า” (Anorexia nervosa) และโรค “บูลีเมีย เนอร์โวซ่า” (Bulemia nervosa) สาเหตุนั้นยังไม่ทราบแน่นอน แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยทางจิตใจเป็นส่วนประกอบร่วมกับผลกระทบจากค่านิยมในสังคมที่ชอบคนผอม ทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น
1. อโนเร็กเซีย เนอร์โวซ่า ผู้ป่วยมักปฏิเสธไม่ยอมกินอาหาร และพยายามออกกำลังอย่างหนักเพื่อให้น้ำหนักลด ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักลดลงไปมากจนถึงขั้นขาดอาหาร แต่ยังไม่พอใจ ต้องการเพิ่มน้ำหนักลงไปอีก อาจใช้ยาเพิ่มน้ำหนัก ยาระบายหรือยาขับปัสสาวะร่วมด้วย
ถ้าอาการรุนแรง จะมีกล้ามเนื้อแขนขาลีบ แก้มตอบ ซูบผอมมาก ประจำเดือนขาดหายไป มุมปากอักเสบ ผิวแห้งลอก มีขนอ่อนขึ้นตามตัว ผมเส้นบาง หักง่าย ผมร่วงง่าย เล็บเปราะ ท้องผูก นอนไม่หลับ ลุกนั่งแล้วหน้ามืด ขาดน้ำ ขาบวม หัวใจเต้นช้า หายใจช้า อุณหภูมิต่ำกว่าปกติ จนถึงหัวใจหยุดเต้นกะทันหันและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าน้ำหนักตัวลดลงไปมากกว่า 35%
2. บูลีเมีย เนอร์โวซ่า ผู้ป่วยมักจะกินมากโดยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วรู้สึกผิด จึงไปล้วงคอให้อาเจียนหลังกินอาหารเข้าไป จนในระยะหลังๆ ไม่ต้องล้วงคอก็ยังอาเจียนได้ รวมทั้งใช้ยาถ่าย ยาขับปัสสาวะเช่นเดียวกับผู้เป็นอโนเร็กเซีย เนอร์โวซ่า แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักไม่ผอมเท่า และอาจมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมและครอบครัว มีความเสี่ยงต่อการสำลัก เยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหารฉีกขาดจากการอาเจียนมาก มีเลือดออกในทางเดินอาหาร มีลมรั่วเข้าไปในช่องทรวงอก นอกจากนี้ยังอาจพบความผิดปกติในดุลกรด-ด่างได้คล้ายกับผู้ป่วยอโนเร็กเซีย เนอร์โวซ่า ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดหัวใจเต้นผิดปกติได้เช่นกัน
สำหรับการรักษาโรคอยากผอมทั้ง 2 นี้ มักทำได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดปกติ
ฉะนั้นในขั้นแรก จึงต้องทำให้ผู้ป่วยยอมรับปัญหาเสียก่อน แต่เนื่องจากมีผู้ป่วยส่วนน้อยที่จะรู้สึกตัวและมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ญาติหรือเพื่อน ๆ จึงมีส่วนสำคัญมากที่จะคอยดูแลและชักจูงให้ผู้ป่วยร่วมมือกับทีมแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งแพทย์จะบำบัดด้วยการให้โภชนบำบัดร่วมกับการรักษาทางจิตเวช ในรายที่อาการรุนแรงและมีความเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจเต้นผิดปกติหรือหยุดเต้น อาจต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ฟังเท่านี้ก็น่ากลัวแล้ว ยิ่งถ้าเกิดกับลูกหลานของตนเองล่ะ จะยิ่งทุกข์ใจเพียงใดโดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่ ดังนั้นพ่อแม่และคนใกล้ชิดจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายไปได้ สังคมเองก็อาจต้องช่วยในการป้องกันปัญหานี้ โดยเฉพาะสื่อต่างๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนค่านิยมว่า คนที่จะหล่อ สวย ดูดี จะต้องผอมมาก ๆ เป็นคนที่ดูดีเพราะมีสุขภาพดี น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม