จากข้อมูลของศูนย์เบาหวานศิริราช ทำให้รู้ว่า
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไตวายในประชากรไทย เกิดจาก
โรคเบาหวาน ประมาณร้อยละ 20 – 40 พบในเด็กที่เป็น
เบาหวานประเภทที่ 1 และร้อยละ 5 – 16 พบในผู้ใหญ่ที่เป็น
เบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งหากผู้ป่วยเบาหวานได้รับการดูแล
อย่างเหมาะสม จะสามารถลดหรือชะลออัตราการเกิดไตวายได้

อาการของผู้ป่วยไตวาย
1. บวม ปัสสาวะออกน้อย เนื่องจากขับเกลือและน้ำได้ไม่ดี
2. ของเสียคั่ง ทำให้เบื่ออาหาร
3. ซีด เหนื่อยเพลีย
4. กระดูกพรุน

ใครที่มีโอกาสเป็นโรคไตสูง
1. ทางกรรมพันธุ์ หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็น
เบาหวานและไตวาย อย่างไรก์ตามกรรมพันธุ์ไม่ได้มีผลสำ
คัญมากเท่าพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย
2. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี อันเนื่องมา
จากการกินเกินสมดุล โดยเฉพาะอาหารจั๊งค์ฟู้ด แป้งขัดขาว
ไข่แดง น้ำมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ขนมขบเคี้ยวที่มีรส
หวาน หรือรสเค็มจัด ควรหันมากินผักให้มากขึ้นและไม่ควรกินจุบกินจิบ
3. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง จะเกิดภาวะเส้นเลือดตีบตัน
และเป็นเบาหวาน ไตวายในที่สุด
4. การสูบบุหรี่

ระยะของโรค
ระยะที่ 1 ภายใน 1 – 3 ปีแรก
การทำงานของไตยังปกติ ขนาดของไตโตขึ้น
ระยะที่ 2 หลังจากเป็นเบาหวาน 2 -10 ปี
เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของไต
แต่หน้าที่ไตและปริมาณโปรตีนในปัสสาวะยังปกติ
ระยะที่ 3 หลังจากเป็นเบาหวาน 10 -15 ปี
มีโปรตีนอัลบูมินรั่วออกมาในปัสสาวะมากกว่า
ปกติ แต่ปริมาณยังไม่มากพอจะตรวจพบด้วยแผ่นตรวจ
ปัสสาวะธรรมดา ระยะนี้การทำงานของไตยังอาจปกติ
หรือเริ่มทำงานลดลงก็ได้
ระยะที่ 4 หลังจากเป็นเบาหวาน 15 - 25 ปี
เป็นระยะที่โปรตีนอัลบูมินรั่วออกมาในปัสสาวะ
มากพอจะตรวจพบด้วยแผ่นตรวจปัสสาวะธรรมดา
ระยะนี้โปรตีนในปัสสาวะของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนการทำงานของไตจะเสื่อมลงช้า ๆ ตามลำดับ
ระยะที่ 5 ไตวาย
หลังจากเป็นเบาหวาน 20 - 35 ปี
ตรวจเบื้องต้นอย่างไรถึงรู้ว่ามีภาวะแทรกซ้อนทางไต
การตรวจที่วินิจฉัยเร็วที่สุดว่าผู้ป่วยมีปัญหาทางไตแล้ว คือ
การตรวจอัลบูมินขนาดน้อย ๆ ที่ เรียกว่า microalbuminuria
โดยตรวจโปรตีนด้วยแถบปัสสาวะธรรมดา แบ่งเป็น 2
ประเภทคือ
1. ผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 ควรตรวจครั้งแรก
หลังจากทราบว่าเป็นเบาหวานอย่างน้อย 5 ปี
2. ผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ควรตรวจโปรตีน
ในปัสสาวะอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า
ไตกำลังมีปัญหา ซึ่งถ้าทราบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
การแก้ไขโดยการควบคุมระดับน้ำตาลและ
การให้ยาบางชนิด (ยากลุ่ม ACE inhibitors)
จะช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้

ป้องกันและรักษาโรคไตอย่างไร
1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ ติดตามการรักษาสม่ำเสมอ
2. ตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะเป็นระยะ และให้การรักษาเมื่อพบความผิดปกติ
3. ควบคุมความดันโลหิตให้น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท
4. หยุดสูบบุหรี่
5. จำกัดโปรตีนในอาหารสำหรับผู้ที่มีการทำงานของไตผิดปกติ
6. ระวังรักษาภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ



อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต


การปฏิบัติตัวเพื่อชะลอการเกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
1. จำกัดอาหารเค็ม
2. ควบคุมความดันโลหิต
3. กินอาหารที่มีโปรตีนต่ำ เพื่อไม่ให้ระดับของเสีย
ในเลือดเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มผักผลไม้ต่าง ๆ
4. ลดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูง เพื่อลดการ
เกิดตะกอนหินปูนที่ไต เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม
และเมล็ดธัญพืชต่างๆ ได้แก่ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง

เตรียมตัวเมื่อต้องเดินทาง
1. พกบัตรประจำตัวที่แสดงว่าตนเป็นเบาหวาน
เนื่องจากถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น น้ำตาลต่ำ ผู้พบเห็น
จะได้สามารถช่วยเหลือได้ถูกต้อง
2. เตรียมยากิน หรือ ยาฉีดอินซูลินและอุปกรณ์การฉีดยา
หรืออุปกรณ์การตรวจเลือด ปัสสาวะ ให้พร้อมและเก็บไว้ในที่ที่หยิบได้ง่าย
3. พกอาหารติดตัวเสมอ เช่น ผลไม้ แครกเกอร์ น้ำผลไม้ นม
4. หลีกเลี่ยงการเก็บอินซูลินไว้ในที่อากาศร้อน เช่น
ท้ายรถ เพราะอาจทำให้อินซูลินเสื่อมได้
5. ถ้าควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีพอ ไม่ควรเดินทาง
หรือถ้าจำเป็นควรปรึกษาแพทย์
คนเรามีสิทธิ์เลือกที่จะทำอะไรในชีวิต
ว่าแต่คุณเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าหรือไม่

credit ผู้จัดการรายวัน