Results 1 to 2 of 2

Thread: ถามตัวเองก่อน เกิดมาทำไม

  1. #1
    Administrator asylu3's Avatar
    Join Date
    Jun 2000
    Location
    Thailand
    Posts
    3,557


    ถามตัวเองก่อน เกิดมาทำไม

    เราจะต้องมีความเข้าใจถูกต้องในข้อที่ว่า เราเกิดมาทำไม ? ทุกท่านต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เกิดมาทำไม ? ทีนี้ จะตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า เกิดมาเพื่อมีอนามัยดี ทั้งทางร่างกายและทางจิต อย่างนี้ถูกที่สุดเลย. ฉันนี้เกิดมาเพื่อมีอนามัยดีทั้งทางกายและทางจิตใจ ; อนามัยทางจิตดีนั้นถ้ามัน ถึงยอดสุด คือนิพพาน : คือความหมดกิเลส.

    อนามัยทางกาย ก็นับว่าเอาละพอละ มีความสบายทางกาย ; เพราะว่าโรคทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณมันไม่มี ร่างกายสดชื่นแจ่มใส แม้แต่ตายก็ยิ้มตายมันก็หมดปัญหา ; ไม่มีใครว่าเราได้. จึงขอให้เราหัดคิดว่า เราเกิดมาทำไม นี้ให้ถูกต้อง ; แล้วจะเข้าใจคำว่าอนามัยดีหมด เพราะ เกิดมาเพื่อมีอนามัยดีทั้งทางกายและทั้งทางจิต.

    เดี๋ยวนี้เรามีความคิดสับสน สับสนทั้งทางร่างกายและทางจิต มีความเชื่อหรืออะไรก็สับสนปนกัน ยุ่งไปหมด ความทุกข์ ความสุข หรือนิพพาน. มีกี่คนที่รู้จักว่า นิพพานคือยอดสุดของอนามัยทางจิต. เขาจะพูดว่าสุข สุข นี้ ไม่มีอะไรจะสูงสุด ไม่มีอะไรยิ่งกว่าความสุข เพราะไม่รู้จักว่า นิพพาน คืออะไร ? มีความหมายอย่างไร ?

    อาตมากำลังมาบอกว่า นิพพานนั่นแหละคือยอดสุดของอนามัยทางจิต คือตั้งรากฐานเป็นพื้นฐานของอนามัยทางกายด้วย. มันต้อง มีความเย็นอกเย็นใจ จึงจะมีความเยือกเย็นทางร่างกาย. อย่าเข้าใจว่ามีความเยือกเย็นทางร่างกายก่อน แล้วจะมีความเยือกเย็นทางใจ ; นั้นมันเป็นไปไม่ได้. อย่างนั้นมันเป็นวัตถุนิยมอย่างที่พวกคอมมิวนิสต์เขาพูดถึง ให้กายดีเสียก่อนแล้วใจจะดี นี่เป็นอุดมคติของพวกวัตถุนิยม ที่เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นหัวโจก. แต่ว่าถ้าให้ จิตดีเสียก่อนแล้วร่างกายจะดีเอง นี่คือธรรมะในพระพุทธศาสนา ; หรือศาสนาไหนก็ตาม ต้องแก้ไขทางจิตใจให้ดีเสียก่อน โดยมีอนามัยทางจิตให้ดีเสียก่อน แล้วอนามัยทางกายจะดีไปตาม. ความเป็นไปทางจิตถูกต้องให้ดีเสียก่อน ความเป็นไปทางบ้านเรือน ร่างกายทางภายนอกก็จะดีไปตาม.

    ได้พูดมาแล้วว่า ความรู้ทางธรรมะนี้มันช่วยการพัฒนา เป็นตัวการพัฒนา ก็อยากจะแนะที่ตรงนี้เลยว่า ให้เข้าใจคำ ๓ คำนี้ให้ถูกต้อง : คำว่า ความทุกข์ คำหนึ่ง ความสุข คำหนึ่ง แล้วคำว่า นิพพาน อีกคำหนึ่ง ช่วยจำไว้ให้ดีว่า : ความทุกข์คำหนึ่ง ความสุขคำหนึ่ง นิพพานคำหนึ่ง มันไม่ใช่อันเดียวกัน. แต่เดี๋ยวนี้เอามาปนกันยุ่ง เพราะว่าคำพูดทำให้เข้าใจผิด คำพูดมันสับปลับ คำพูดที่พูดกันอยู่นี้มันสับปลับ ในวัดวาก็พูดกันสับปลับ ไป ๆ มา ๆ ปนกันยุ่ง.

    สิ่งที่ ๑ ความทุกข์ หมายความว่า มันต้องทน ทนยากเหลือทน กระทั่งทนไม่ไหว เรียกว่าความทุกข์. ความทุกข์คือสิ่งที่ทนยาก ทนอย่างเหลือทน กระทั่งทนไม่ไหว กระทั่งตาย.

    สิ่งที่ ๒ ความสุข นั้นทนง่าย น่าทน แล้วก็ ชวนให้ทน. ความสุขนี้มันทนง่าย ; เพราะมันสนุกในการทน มันจึงน่าทน แล้วมันชวนให้ทน.

    สิ่งที่ ๓ คือ นิพพาน นี้ไม่ต้องทนอะไรเลย. แล้วไปดูความแตกต่างของมันซิ ความทุกข์นี้มันต้องทน เหมือนกับเอาไฟเผา เอาไฟลน เหมือนถูกอะไรทิ่มตำอะไรแทงอยู่เสมอ ต้องทนถึงขนาดนี้เป็นความทุกข์ : ส่วนความสุขนั้นทนเหมือนกัน แต่มันทนง่าย แล้วมันสนุกในการทน มันชวนให้ทน มันน่าทน.

    เปรียบเทียบเห็นง่าย ๆ อย่างว่าเป็นคนขอทานนี้ มันทนยาก แต่ถ้าเป็นเศรษฐี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอะไรอย่างนี้ มันน่าเป็น มันน่าทน. เป็นนายกฯ มันต้องทน ; แต่ก็เห็นอยู่ว่ามันต้องทน มีมีภาระที่จะต้องทน แต่มันน่าทนและมันชวนทน. ถ้าเป็นสัตว์นรกมันก็เหลือทน ; แต่ถ้าเป็นเทวดาในสวรรค์ อิ่มเอิบด้วยกามารมณ์ มันก็น่าทนหรือชวนทน. แต่แล้ว มันก็มีการทนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกัน ; ต้องทน ไม่ใช่ไม่ทน. กินของขมก็ต้องทน กินของหวานก็ต้องทน. ไม่เชื่อไปลองดู แต่ว่ากินของหวานนั้นมันไม่รู้สึกในความที่ต้องทน ; เพราะมันชวนให้กิน กินเข้าไป ๆ มาก มันก็ต้องตายเหมือนกัน.

    การบริโภคกามารมณ์ ที่ถือกันว่าเป็นเรื่องวัตถุประสงค์ของความเหงื่อไหลไคลย้อยนี้ เพื่อผลของกามารมณ์นี้ , ได้มา กินเข้าไปซิ มันก็ต้องทน ทนหลาย ๆ แง่, แล้วทนในทางจิตทางวิญญาณด้วย. ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าความสุขก็คือสิ่งที่ต้องทน ; แต่ว่ามันทนง่าย หรือน่าทน หรือชวนทน. ส่วน นิพพานนั้นไม่ต้องทนอะไรเลย มันต้องต่างกันลิบถึงขนาดนี้.

    ทีนี้ เรามองดูในเรื่องอนามัย เราจะแก้ไขให้ไปในทางที่ไม่ต้องทนอะไรเลย. อย่าลืมคำพูดที่ได้กล่าวในตอนต้นว่า อนามัยคือปกติภาวะที่มนุษย์จะไม่ต้องทนอะไรเลย ; นั้นเป็นเจตนารมณ์ของความหมายของคำ ๆ นี้. เราจะต้องแก้ไขไม่ให้ต้องมีการทน ไม่อร่อยเราก็ต้องทน อร่อยเราก็ต้องทน ; แต่ถ้าเราเลิกไปเสียหมดได้ ทั้งอร่อยทั้งไม่อร่อย : นั่นแหละคือไม่ต้องทน.

    ความเป็นอยู่ที่สายกลาง หรือตรงกลางอย่างยิ่ง หมายความว่า นิพพาน ไม่ได้ ไม่เสีย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่อะไรทุกอย่างเลย ไม่มีอะไรที่เป็นคู่ ๆ จึงจะไม่เป็นเรื่องทน. จิตในขณะที่เราไม่ขมไม่หวานนั้นแหละไม่ต้องทน ถ้าขมก็ต้องทนขม ถ้าหวานก็ต้องทนหวาน. อนามัยที่ถูกต้องแท้จริงต้องเป็นภาวะที่ไม่ต้องทน. ที่ปราศจากความทน จึงจะเป็นอนามัยที่แท้จริง ที่ทำให้มีความปกติสุข ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ.

    ถึงแม้ว่า การทำส้วม การทำบ่อน้ำ การทำความสะอาดบ้านเรือน จะเป็นเรื่องเบื้องต้นก็ตาม แต่เจตนารมณ์ของมันเป็นไปเพื่อไม่ต้องทน ; ฉะนั้น อย่าไปทำจนต้องทน หรือหลงในการทน หรือชวนทน เตลิดเปิดเปิงไปทางโน้น ; หรือว่าปล่อยปละละเลยในการต้องทน จนไม่ไหว จนเหม็นอื้อไปหมด ! อย่างนี้มันก็ไม่ได้. มันต้องอยู่ในระดับที่ไม่มีการต้องทน.

    ดังที่พูดมาเมื่อกี้นี้ว่า ถ้ามันเฟ้อมากไป เปลืองมากไป หรือเต็มรุงรังไปหมดด้วยเครื่องวัตถุอนามัย เต็มบ้านเต็มเรือน มันก็อยู่ไม่ได้บ้านนั้น. มันยิ่งจะต้องมีความต้องทนอะไร ๆ , มันเลยต้องทนทางเศรษฐกิจ มันต้องทนทางเก็บรักษา มันก็เกินไป ; เอาแต่ว่ามันเป็นภาวะที่ไม่ต้องทน ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นอนามัยที่ดี. เราไม่ได้พูดถึงตู้เย็น, ไม่ได้พูดถึงเครื่องล้างชาม, ไม่ได้พูดถึง เครื่องสำรวยสำอางอะไรเลย ; เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับอนามัย ; มันเกี่ยวกับการสะดวกสบายหรือเป็น การตามใจกิเลส อย่างอื่น, แล้วมันต้องทนต้องหาเงินมามาก ๆ ต้องเก็บรักษามาก ต้องลำบากมาก มันก็กลายเป็นเรื่องต้องทน อย่างทนหวาน.

    เดี๋ยวนี้เราจะไม่ทนทั้งขมและหวาน, จะปราศจากความทนโดยประการทั้งปวง จึงจะเรียกว่า ตรงตาม spirit ของคำว่าอนามัย ; ไม่ทรมานกาย ไม่ทรมานจิต ให้มีความพักผ่อนทั้งทางกายและทางจิต นั้นแหละคือความหมายของคำว่านิพพาน ; ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าอนามัย ก็คือปัจจัยแห่งความไม่ต้องทน.

    อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอะไรให้มันรัดกุมกว่านี้. สิ่งที่เรียกว่าอนามัยนี้คือ ปัจจัยแห่งความไม่ต้องทน ; ถ้าไม่ต้องทนแล้วก็เป็นสุขเลิศ เป็นนิพพาน ; ถ้ายังต้องทนขม ทนหวาน อยู่แล้ว ไม่ไหวทั้งนั้น มันใช้ไม่ได้ทั้งนั้น.

    สรุปความว่า รวมความกันที่ว่าเรื่อง อนามัยนี้ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ๆ ; และไม่ใช่เรื่องของชาวบ้านร้านตลาด, ทำเพียงป้องกันแมลงวันหรืออะไรทำนองนั้น. มันเป็นการประพฤติธรรมอย่างสูง คือทำไป เพื่อให้ถึงภาวะที่ไม่ต้องทน ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันกับนิพพาน. เดี๋ยวนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันติดขัดอยู่ตรงที่คนเป็นโรคทางวิญญาณ, มนุษย์กำลังเป็นโรคทางวิญญาณ ; คือความเห็นแก่ตัว แม้จะชักชวนทำส้วมใช้เอง ก็ไม่เอา ; อย่าว่าถึงจะทำส้วมสาธารณะเป็นต้นเลย. นั้นแหละคือโรคทางวิญญาณ โรคเห็นแก่ตัวจัด ; นี้เป็น สิ่งที่น่าหัวเราะที่สุดในโลก คือการที่ต้องขอร้องให้ทำอะไรเพื่อตัวเอง.

    คุณไปคิดดูเถอะ อย่าว่าอาตมาประชดแดกดันอะไรเลย สิ่งที่น่าหัวที่สุดคือ การขอร้องให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ; ต้องให้คนอื่นมาขอร้องชักชวนชี้ชวนบังคับให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง นี่อะไรจะมาน่าหัวเท่าสิ่งนี้ไม่มี. ฉะนั้น ควรจะเลิกกันเสียที สิ่งที่น่าหัวกันที่สุดนี้เลิกกันเสียที. ไปบอกญาติโยม มิตรสหาย ลูกเล็กเด็กแดงอะไรให้เลิกกันเสียที, ให้ เลิกภาวะที่ต้องให้ผู้อื่นมาขอร้องชี้ชวนให้ทำทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองนี้ มันน่าละอายที่สุดในโลก, แล้วก็ยัง น่าขบขัน น่าหัวเราะที่สุดในโลกด้วย.

    ทุกคนก็เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ควรจะเห็นแก่ตัวให้ถูกทาง ก็ทำประโยชน์แก่ตัวก็แล้วกัน, ความเห็นแก่ตัวนั้นมันเป็นต้นทุนพอแล้ว ทำทุกอย่าง ทำอะไรสักนิดหนึ่งก็ให้เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว. พวกเด็ก ๆ จะช่วยทำความสะอาดอะไรสักนิดหนึ่ง ก็ให้มุ่งว่าเราจะทำลายความเห็นแก่ตัว ให้มีจิตใจดีขึ้น, แล้วส่วนนอกนั้นเป็นผลพลอยได้เล็ก ๆ น้อย ๆ และให้ถือว่า เวลานั้นแหละคือการปฏิบัติพระธรรมในพระพุทธศาสนา, ศาสนาทุกศาสนา ไม่เฉพาะแต่พุทธศาสนา ต่างมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัว.

    อย่าเข้าใจผิด อย่าไปดูถูกศาสนาอื่น เพราะว่าที่เป็นเนื้อแท้ ที่เป็นหัวใจของศาสนา ทุกศาสนานั้น มุ่งกำจัดทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น, ไปศึกษาดูให้ดีเถอะ นอกนั้นเป็นเรื่องฝอย เรื่องปลีกย่อย ; อย่าไปเอาเข้ามาเป็นหลัก ; หลักใหญ่นั้นเขาให้ทำลายความเห็นแก่ตัว. ศาสนาพุทธสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว จนไม่มีตัว จนหมดตัว เป็นพระอรหันต์ไปเลย.

    ศาสนาต่าง ๆ ที่มีพระเจ้า ศาสนาคริสต์ อิสลามอะไรก็ตาม เขามีพระเจ้า เขาว่าเอาตัวไปให้พระเจ้าเสีย, เอาตัวไปให้พระเจ้าเสีย อย่ามีตัวของตัวเป็นอันขาด แล้วก็ ทำตามพระเจ้าสั่ง ก็เลยทำอย่างที่ว่านี้ : เป็นการพัฒนาทั้งทางกายและทางจิตตามที่พระเจ้าสั่ง. มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ? เพียงแต่พูดคำเดียวว่า นี่เป็นเรื่องพระเจ้าสั่งไปทำส้วม ทำบ่อน้ำ ทำอะไรก็ตาม เขาก็ทำกันพรึบไปเลย. เดี๋ยวนี้ไม่มีใครนับถือพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักหัวใจของศาสนาของตัว เลยต้องเข็นกันเหมือนอย่างที่เข็นครกขึ้นภูเขา.

    ทีนี้ ถ้าจะให้ดีถึงที่สุด ก็ต้องคิดว่า เราเกิดมาเพื่อส่วนรวม เกิดมาเพื่อผู้อื่น ; อย่ามีตัว อย่ามีความเห็นแก่ตัว นั้นแหละเป็นเรื่องจบ เป็นเรื่องที่สิ้นสุดของมนุษย์ ไม่มีอะไรดีที่สุดยิ่งกว่านั้นอีกแล้ว. พระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้นเพื่อผู้อื่น ท่านทำเพื่อผู้อื่น, เรื่องของตัวเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็สอนให้ทุกคนเห็นแก่ผู้อื่น ; พอเห็นแก่ผู้อื่น มันทำชั่วไม่ได้ แล้วการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น มันเป็นการทำดี ทำให้ตัวมีกินมีใช้ พร้อมกันไปในตัว. ฉะนั้น จึงไม่ห่วงตัว โดยฝากไว้กับการเห็นแก่ส่วนรวมนั้นแหละทั้งหมดเลย.

    ถ้าเราทำเพื่อประเทศชาติ มันต้องมีกินมีใช้ด้วย เพราะว่าประเทศชาติมันรวมทั้งเราด้วย ; แล้วเราก็ทำเพื่อประเทศชาติ มันจะอดไปได้อย่างไร. ชีวิตนี้ต้องจบลง โดยบทสุดท้ายว่า เพื่อผู้อื่นจึงจะสมบูรณ์. ไม่มีใครฝันอย่างนี้ ไม่มีใครหวังอย่างนี้ และไม่กล้าหวังอย่างนี้, หวังแต่เรื่องตัวกู - ของกูทั้งนั้น จะเหลือมรดกทิ้งไว้ให้ลูกหลานของกูเท่านั้น ไม่เพื่อผู้อื่น ; กูตายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ต้องเป็นของลูก ของหลาน ของกู ไม่มีเพื่อผู้อื่น ; นี่มันเป็นเรื่องที่กิเลสครอบงำมากเกินไป.

    ไปดูภาพเขียนในตึก ที่ในวัดก็จะพบภาพ ภาพที่น่าสะดุดตาว่า ชีวิตมนุษย์เป็นฉาก ๆ ฉาก ๆ มานั้น รวมมี ๑๐ ฉากด้วยกัน. ฉากที่ ๘ นั้น หมดตัวเองเลย ว่างเลย ไม่มีตัวเอง ไม่มีตัวกูที่จะไปหาความสุข ความเอร็ดอร่อยอะไรที่ไหนแล้ว, เป็นภาพความว่าง กลมไปเลย. อีก ๒ ภาพ ก็คือ momentum - เป็นแรงงานสติปัญญาเมตตาเหลืออยู่ เป็นภาพสุดท้าย คือเที่ยวแจกของ เที่ยวส่องตะเกียง เที่ยวแจกของให้ผู้อื่น เที่ยวส่องตะเกียงผู้อื่น เป็นภาพสุดท้ายของชีวิต.

    นี่ ชีวิตที่สมบูรณ์ ต้องจบลงด้วยคำว่า ผู้อื่น. นี้เรื่องอนามัย เรื่องอะไรก็ตาม เรื่องธรรมะ เรื่องอะไรต้องเป็นความมุ่งหมายที่เห็นแก่ตัว ; ถ้ายังคงเห็นแก่ตัวแล้ว มันไปไม่รอด, มันเป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง ; มันก็ถึงขนาดที่ว่า ชักชวนให้ทำส้วมใช้เองก็ยังไม่เอา เพราะความเห็นแก่ตัว. แต่ถ้าเห็นแก่ผู้อื่นแล้วจะ ทำส้วมสาธารณะก็ได้ แล้วตัวเองก็ใช้ด้วยได้.

    นี่ความมุ่งหมายของธรรมะ ของกฎของธรรมชาติเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องอนามัยทางจิตอย่างสูงสุด. ผู้ที่เจริญอนามัยทางจิต ย่อมเจริญอนามัยทางกายด้วย เพราะมันเป็นของเล็กน้อยแฝงอยู่ในเรื่องของจิต. ทีนี้ก็เกิดภาวะที่ไม่ต้องทนอะไรเลย สมตามความหมายของคำว่า อนามัยอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ ; ถูกต้องนั้นก็ถูกต้องละ, แต่ก็สมบูรณ์ด้วย คือถูกต้องหมด. นี่เราจะใช้ได้แค่ไหน ต้องใช้วิจารณญาณดู ; อะไรเป็นเบื้องต้น อะไรเป็นเรื่องริเริ่มลงมือก็ทำไป ; แต่ทำให้ถูกความหมายเถิด มันจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด.

    พระพุทธเจ้าท่านว่า ทำบุญสักบาทหนึ่งหรือสักสตางค์หนึ่ง มันก็ได้ผล ได้ผลเหมือนกับทำบุญสักล้านหนึ่ง ๒ - ๓ ล้าน, ขอให้มีเจตนาทำลายความเห็นแก่ตัวเถอะ ให้เขาเป็นเศรษฐีทำบุญเป็นล้าน ๆ , ขอให้ทำลายความเห็นแก่ตัวเถิด ถ้าเขาเป็นชาวบ้าน ทำบุญเพียง ๑๐ สตางค์ ก็เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวเถิด แล้วก็ได้บุญเท่ากัน.

    นี่เรื่องต่าง ๆ มันทำได้อย่างนี้ รวมทั้งเรื่องอนามัย ; จึงหวังว่า ท่านทั้งหลายผู้เป็นหัวหน้าท้องถิ่นของกิ่งพัฒนาอนามัยนี้ จะได้ เอาคำตอบของอาตมาไปคิดไปนึกดู ; มันจะช่วยให้เกิดกำลังใจในการทำงานต่อไป, แล้วมันจะเป็นการพัฒนาจิตใจของท่านด้วย, ให้มีอนามัยในทางจิตดีด้วย, มันก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง : เกิดมาทีก็หมดเท่านี้เอง. จิตเมื่อมีอนามัยดี มีธรรมะแล้ว มันก็จะไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู. อย่าให้ลิงล้างหู ด่าใส่หน้า ปัญหามันก็หมด, อยากรู้เรื่องลิงล้างหูละก็ ไปดูภาพที่ในตึกโรงมหรสพทางวิญญาณ.

    ขอยืนยันในที่สุดจบนี้ว่า ธรรมะจำเป็นในทุกกรณี, แม้ในกรณีของการพัฒนาอนามัย. โลกกำลังอยู่ในฐานะที่ว่า ต้องรบกันไปพลาง แลกเปลี่ยนธรรมะกันไปพลาง ให้ไปอ่านเรื่องนี้ดู เถอะตามหนังสือที่แจกไป.

    ขอยุติคำบรรยายวันนี้ ด้วยการกล่าวคำสวัสดีแก่ท่านทั้งหลายทุกคน.


    Reference: http://www.buddhadasa.org

  2. #2
    Administrator asylu3's Avatar
    Join Date
    Jun 2000
    Location
    Thailand
    Posts
    3,557


    Re: ถามตัวเองก่อน เกิดมาทำไม

    ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมหวนกลับมาคิดว่าชีวิตแต่ละวันที่ผ่านไปนั้น เราทำอะไรไป
    บ้างเพราะชีวิตคนเรานั้นว่าไปแล้วมันหาความแน่นอนบ่ได้ดอก บางคนเห็นหน้ากันดีๆ อาจมีเหตุให้ล้มหายตาย
    จาก บางคนตั้งความหวังไว้ว่าพอเกษียณอายุงานแล้ว จะเข้าวัดศึกษาธรรมะหรือไม่ก็ทำไร่ทำนาไปตามประสา
    คนมีอายุ แต่ที่ไหนได้ มีเหตุไม่คาดฝัน ทำให้กลับบ้านเก่าเร็วกว่าที่คาดคิด ทำให้ความฝันที่ฝันไว้เสียดิบดีต้อง
    กลายเป็นหมัน นี่แหละครับความเป็นอนิจจังที่แน่นอนเสียยิ่งกว่าอะไร
    วันนี้ผมหยิบหนังสือจากห้องสมุดของครอบครัวมาได้หนึ่งเล่ม ไม่รู้ช่วงนี้เป็นอะไร อยากศึกษาธรรมะ
    พอดีเห็นหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจ ชื่อ ชำแหละกฎแห่งกรรม เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่ พลิกอ่านเนื้อ
    หาข้างในมีแต่เรื่องน่าสนใจทั้งนั้นเลยครับ แต่มีเรื่องหนึ่งที่สะดุดตาสะดุดใจเป็นพิเศษ เป็นตอนที่มีชื่อว่า "เกิดมา
    ทำไม" พออ่านไปแล้วก็คิดถึงแฟนคอลัมน์ฟ้าบอกว่า จึงอยากนำมาสรุปให้ท่านลองอ่านดูในวันที่ไม่มีฟุตบอลให้
    ต้องลุ้นจนเครียด ลองอ่านแล้ววิเคราะห์ตัวท่านเองสิครับว่าท่านเกิดมาทำไม
    เนื้อหาของตอนนี้บอกให้เราทราบว่าสาเหตุของการเกิดของมนุษย์นั้น มีเจตจำนงค์ในการปฏิสนธิแตก
    ต่างกัน ดังนี้
    1. เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ชาติก่อนทำบุญไว้มาก ทำบาปไม่เกิน 30 % ของกรรมทั้งหมด พอตาย
    ไปขึ้นสวรรค์ เสวยสุขไปชั่วระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจ จึงตัดสินใจลงมาใช้กรรมเก่าชั่วคราว
    คนผู้นี้เมื่อมาเกิดใหม่ จะได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ความเดือดร้อนนั้นจะไม่มีพลังหักเหให้เขาหัน
    กลับไปทำความชั่วอีก เมื่อชดใช้กรรมหมดแล้ว ก็จะได้กลับไปเสวยสุขบนสวรรค์อีก
    2. เกิดมาเพื่อสร้างบารมี เมื่อโลกมนุษย์เกิดความระส่ำระสาย เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จะคัด
    เลือกเทพลงมาช่วยแก้สถานการณ์ เทพเหล่านี้เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ตลอดชีวิตจะต่อสู้เพื่อ
    สังคม เพื่อความดีงาม เพื่อเสรีภาพไม่หยุดหย่อน แม้ภาวการณ์คลี่คลายลง เทพนั้นก็จะละร่างไป
    เสวยสุขในโลกเบื้องสูงต่อไป
    3. เกิดมาเพื่อเป็นประมุข เป็นผู้นำ เทพบางองค์ยอมเสียสละความสุขบนสวรรค์ลงมาเกิดเพื่อ
    เป็นผู้นำหรือเป็นประมุขปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข เป็นการสร้างบารมีไปในตัวด้วย
    4. หนีนรกมาเกิด สัตว์นรกบางตนใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ ครั้นนาย
    นิรยบาลทราบเรื่องก็จะให้ยมทูตมาเอาตัวกลับไปทรมานอีก สัตว์นรกในร่างมนุษย์นั้นจะอายุสั้น
    ตายตั้งแต่อายุยังน้อย
    5. หนีแดนโจรมาเกิด สัตว์ในแดนโจรบางตน ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรแต่ยังไม่หมดกรรม ก็หนี
    มาเกิดในโลกมนุษย์ ทำให้มาเกิดเป็นคนพิการแต่กำเนิดหรือมีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการ
    ในที่สุด
    6. หนีแดนเปรตมาเกิด เปรตที่ยังไม่หมดกรรม หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ จะเป็นผู้ที่อดหยากยากไร้
    หิวโหย หาได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อดมื้อกินมื้อ หรือกินแต่ของบูดเน่า ของเหลือเดน
    7. หนีแดนปีศาจมาเกิด ผู้ที่ชอบรีดนาทาเร้น คดโกงผู้อื่น ตายไปแล้วต้องไปต่อสู้ฟาดฟันกันเองใน
    แดนปีศาจ บางตนใช้กรรมยังไม่หมดก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ คนพวกนี้จะเป็นคนอาภัพ ได้รับ
    การดูถูกเหยียดหยาม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมและผู้เกี่ยวข้อง
    8. เกิดมาเพื่อเสวยสุข บางคนทำบุญไว้น้อย ทำบาปไว้มาก จึงต้องไปรับกรรมในอบายภูมิ เพื่อชด
    ใช้กรรมหมด ก็ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อรับผลของบุญที่ทำไว้ คนพวกนี้จะมีนิสัยเลวร้าย
    ชอบเอาเปรียบคดโกง แล้วร่ำรวยเพราะการกระทำดังกล่าว เขาจะเสวยสุขเพื่อรอวาระสุดท้ายใน
    ชีวิต ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิม
    9. เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม เทพเจ้าบางองค์ ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็น
    พระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันตสาวก ฯลฯ แม้ตัวท่านจะมีบุญบารมีมากมาย แต่เขายังบก
    พร่องในบารมีธรรมบางข้อ ท่านจึงได้อำลาพรหมโลก ละทิ้งป่าหิมพานต์ หนีจากแดนบาดาลมา
    เกิดเป็นมนุษย์ คนพวกนี้จะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญบารมี ไม่ยอมสะสมหลักฐานหรือ
    ทรัพย์สมบัติใดเพื่อตนเอง ท่านจะยอมลำบากลำบน ทำแต่ความดี สร้างบารมี บางครั้งคนทั่วไป
    เลยหาว่าโง่
    10. เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ บางคนไม่สนใจเรื่องบุญบาป นรก
    สวรรค์ คนพวกนี้ทำบุญไว้มากกว่าบาป แต่บุญไม่มากพอที่จะส่งขึ้นสวรรค์ บาปก็ไม่มากพอที่จะ
    ส่งลงนรก เมื่อตายไปแล้วจึงต้องกลับมาเป็นมนุษย์อีก เสวยผลกรรมตามที่ทำไว้ในอดีตชาติ เขา
    จะใช้ชีวิตเฉกเช่นสามัญชนทั่วไป แสวงหารักแท้ ดิ้นรนเพื่อหน้าที่การงาน ต่อสู้เพื่อให้มีหลักฐาน
    ความมั่นคง ทำดีเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ
    11. เกิดมาเพื่อทำลายล้าง บางคนเป็นคนที่มากไปด้วยความแค้น ไม่ยอมใคร หากในอดีตชาติเขา
    ถูกศัตรูกลั่นแกล้งทรมาน เขาจะต้องหาทางแก้แค้น หากไม่ทันได้แก้แค้นและศัตรูตายไปก่อน เขา
    ก็จะยังไม่ยอมเลิกรา ด้วยอำนาจความแค้นจะทำให้เขาเกิดร่วมชาติกับศัตรู เพื่อตามทำลายล้าง
    กันตั้งแต่ต้นจนจบ
    ลูกชายเจ้าสำราญ ล้างผลาญทรัพย์สินของพ่อแม่ที่อดออมมาเป็นเวลานาน
    ภรรยา โขกสับสามี จิกหัวใช้สามีเยี่ยงทาส
    อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษาจนต้องลาออก ไม่ได้รับประกาศนียบัตร
    ประกอบการค้าเล็กๆ แต่ก็ถูกนายทุนใหญ่กลั่นแกล้งจนตัวเองล่มจม
    12. เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป บางคนทำบุญไว้มาก แต่ไม่เคยประพฤติศีลในครบถ้วน เมื่อ
    ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่รู้จักประพฤติตนให้เหมาะสม เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จึงใช้อำนาจ
    บันดาลให้เขามาลงรับบทเรียนบางอย่างในโลกมนุษย์ มนุษย์พวกนี้ลงมาเกิดด้วยฤทธิ์คำสาปของ
    สวรรค์ และด้วยบุญที่ทำมามาก เขาจึงมาเสวยสุขในโลกมนุษย์ แต่เป็นแบบมีขอบเขต เช่น มีเงิน
    ทองมากมาย แต่คิดทำการใหญ่เมื่อใด ก็จะขาดทุนป่นปี้ มีอาการแพ้วัตถุบางอย่าง เช่น ขึ้นเครื่อง
    บินไม่ได้ เพราะมีอาการแพ้รุนแรง หรือ ต้องบูชาเทพบางองค์ ถ้าขาดบูชาเมื่อใดมักมีเรื่องเดือด
    ร้อนตามมา
    13. เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ บางคนทำความดีไว้มาก ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ได้รับความเมตตา
    จากเทพฝ่ายบริการ ครั้นสนิทสนมกันดีก็สงสัยว่าไฉนเทพฝ่ายบริการซึ่งบุญบารมีใกล้เคียงกับตน
    เองจึงมีฤทธิ์เหนือกว่า สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์ โลกมนุษย์และโลกทิพย์ได้ จึงตั้งความ
    ปรารถนาที่จะมีฤทธิ์แบบเทพฝ่ายบริการบ้าง จึงขออนุญาติเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ลงมาสร้าง
    ฤทธิ์อำนาจในโลกมนุษย์ มนุษย์พวกนี้จะมาเกิดในหมู่โจร เกิดท่ามกลางคนชั่วคนเลว อันธพาล ผู้
    มีอิทธิพล นักการเมืองที่มีอำนาจ นี่คืออุปสรรคหรือบททดสอบสำหรับเขา
    ถ้าเขาปรับตัวเข้ากับบุคคลเหล่านั้นได้ ยอมร่วมมือทำความชั่ว เขาจะมีความสุข มีอำนาจใน
    โลกมนุษย์ แต่จะไม่มีฤทธิ์อำนาจตามที่ปรารถนาเอาไว้
    ถ้าเขาเข้มแข็ง เป็นคนดีในหมู่โจร ไม่ยอมทำความชั่วแม้จะถูกบีบคั้น เมื่อเขาตาย ก็จะตายใน
    ขณะที่คุณความดียังอยู่ เมื่อเขาตาย สวรรค์จะต้อนรับเขา เขาคือ ครูญาณ ทูตสวรรค์ เขาจะมี
    ฤทธิ์อำนาจไปมาข้ามห้วงเวลาได้ สามารถปรากฎตัวในโลกมนุษย์เพื่อรับวัตถุทานที่บุตรหลาน
    บำเพ็ญกุศลไปให้ หรือปรากฎตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข หรือปรากฎตัวในอบายภูมิเพื่อศึกษา
    เรื่องผลของกรรม
    14. เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต มนุษย์บางคนเกิดมาทำบุญน้อย ทำบาปมาก หลังจากตายแล้ว
    ต้องรับโทษ เมื่อรับโทษหมดไปประมาณ 90 % ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินชีวิตแบบเดิม
    คือ ทำบุญน้อย ทำบาปมาก วงจรชีวิตจะหมุนเวียนระหว่างโลกมนุษย์กับอบายภูมิ จนก่อนละโลก
    ครั้งหลัง เขาได้พบสมณชีพราหมณ์ เกิดความเลื่อมใส ทำให้เริ่มหันหน้าเข้าวัด แต่ผลบุญยังน้อย
    มิอาจต้านทานกระแสบาปได้ ตายไปจึงต้องไปรับทุกข์ในอบายภูมิตามเดิม ก่อนตายได้ตั้งสัตย
    อธิษฐานว่าจะทำความดีเพื่อไม่ให้ตกต่ำไปกว่าเดิม
    ดังนั้น เมื่อเกิดมาก็ยังต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นคนอาภัพ ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ แต่
    เขาจะฝืนทำความดี ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส เมื่อจบชีวิตแล้ว ทูตสวรรค์จะมารับ
    วิญญาณไปสู่สวรรค์เบื้องสูง วงจรชีวิตจะเปลี่ยนไป ได้เสวยสุขในสวรรค์
    15. เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา เมื่อใดที่ศาสนาเสื่อมทรามจนเหลือแต่หลักวิชา และพระโพธิสัตว์จะ
    มาจุติในโลก เหล่าทวยเทพจะติดตามลงมาเพื่อช่วยกันประกาศหลักธรรม เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่
    เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป
    16. เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์ ในโลกธาตุหนึ่ง จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พร้อมกันสองพระองค์
    พร้อมกันมิได้เป็นอันขาด ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ครบครันมั่นคง หาก
    จะมีใครคนหนึ่งอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เขาผู้นั้นเป็นคนโกหกหลอกลวงอย่างหน้าด้านที่
    สุด
    ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประดิษฐาน
    พระศาสนา พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะติดตามลงมาเกิดเป็นมนุษย์
    เพื่อรับพุทธพยากรณ์ เป้าหมายของพระโพธิสัตว์ คือ พุทธภูมิ ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างไร พระ
    โพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้ พระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น
    17. เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์ บางคนเคยทำบุญร่วมกัน แต่ไม่ได้ทำบาปร่วมกัน คนหนึ่งตายแล้วไป
    สวรรค์ อีกคนหนึ่งเกิดบนโลกมนุษย์ คนที่เกิดบนโลกมนุษย์จะยิ่งได้รับผลบุญมากเต็มที่เมื่ออยู่
    ร่วมกับคนที่อยู่บนสวรรค์ หากคนที่อยู่บนสวรรค์ลงมาเกิดและอยู่ร่วมด้วย คนที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็
    จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกบางคนเกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย ค้าขายคล่อง การงานก้าวหน้า
    แต่ตัวลูกเองประพฤติตัวเกเร ถ้าพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านก็จะทำให้ความเป็นอยู่ของพ่อแม่เดือดร้อน
    อีก
    18. เกิดมาเพื่อรับใช้อุปัฎฐาก เมื่อเทพเจ้าจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเพิ่มเติมบารมีธรรมให้เต็ม
    เปี่ยม เทพฝ่ายบริการ เทพผู้รับใช้ประจำตัวจะติดตามลงมาเกิด โดยทิ้งช่วงห่างประมาณ 10 ปีถึง
    25 ปี เมื่อเทพเจ้าพระองค์นั้น (ในร่างมนุษย์) สร้างบารมีตนเอง เทพรับใช้ก็จะมามอบตัวเป็นลูก
    ศิษย์คอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแลเทพองค์นั้น เมื่อเทพองค์นั้นอำลาจากโลกมนุษย์ เทพรับใช้ก็จะอยู่
    ปฏิบัติงานจนเรียบร้อยแล้วก็จะติดตามกลับไปรับใช้ในโลกทิพย์ต่อไป
    19. เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม เทพเจ้าผู้สละพรหมโลกมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้าง
    บารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพเจ้าผู้ปกครอง ปกติจะเป็นนักบวช อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองของศาสนา
    เป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ไม่หวังลาภยศ วางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่องและคำด่า เพราะในหัวใจของท่าน
    อัดแน่นไปด้วยฮัมมตัณหา ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับกามตัณหา
    20. เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ ยามใดที่โลกมีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดน้อย วิญญาณชั้นต่ำ
    มาเกิดมาก พวกเทพจะอาสามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ เทพเหล่านี้จะได้รับ
    ความเจริญในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน ประเพณีโบราณได้แก่ ศิลป
    วิทยาการอันเก่าแก่ เช่น ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดนตรี การขับร้องฟ้อนรำ วรรณคดี จิตรกรรม
    ประติมากรรม วัฒนธรรม

Members who have read this thread : 0

Actions : (View-Readers)

There are no names to display.

Posting Permissions

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •