การออกแบบ server ในสมัยก่อน จะใช้วิธีแบบว่า ตัวใครตัวมัน คือ server ทุกตัว จะตัวใหญ่มาก (เอาใหญ่ไว้ก่อน) แล้วก็เอามาตั้งรวมกัน ดังภาพนี้



ซึ่งจะมีข้อเสียคือ เมื่อต้องการขยายงาน หรือ ต้องการ backup ก็ต้องซื้อของมาเพิ่มแต่ละตัว หรือตัวใดตัวหนึ่งพัง ก็ต้องรีบหามาเปลี่ยน แล้วเอา backup มา restore คืนมา

สรุปว่า นี่คือแบบดั้งเดิม เหมาะกับองค์กรเล็กๆ เพราะดูแลง่ายดี ไม่ยุ่งยาก ใช้เงินพอสมควร

แต่ถ้าองค์กรใหญ่ขึ้น ระบบนี้ จะแย่มาก เพราะ server จะตัวใหญ่มากๆๆๆ ใช้เงินมาก ดูแลไม่ค่อยทั่วถึง จะ backup แต่ละที หุหุหุ ใช้เวลานาน

จึงมี solution ใหม่ ที่ค่อนข้างจะรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง ดังนี้



ซึ่งจะใช้ NAS มาช่วย โดย NAS จะทำหน้าที่เก็บไฟล์ทุกอย่างไว้ แล้วให้ตัวอื่นมา Access ตัวมันเอง โดย mount จาก NFS ซึงสิ่งที่ได้ จะมีดังนี้

1. NAS จะใช้เครื่องที่มีเสถียรภาพ และ redundant สูงมี Disk หลายก้อน และเป็น RAID 5 ซึงจะทำงานเร็วกว่า การมี disk ก้อนเดียว, เราจะทุ่มส่วนมาก เพื่อ NAS ตัวนี้ตัวเดียว โดยความเร็วของเครื่อง และ RAM ไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก สำหรับ NAS

2. เครื่อง Server ทั่วไป จะเป็นเครื่องที่มี Redundant ปานกลาง แต่ storage จะต่ำ เพราะตัวมันเอง จะเก็บแค่ OS เท่านั้น, Data ทั้งหมด จะถูกเก็บบน NAS ซึ่งมีเสถียรภาพมากกว่า

วิธีนี้ จะทำให้
1. Backup ง่ายขึ้น เพราะ Backup ที่ NAS เพียงอย่างเดียว
2. ใช้เงินน้อยลง ในการ upgrade server เพราะ server ไม่ต้องการ disk มากนัก จะใช้ IDE ก็ได้ และสามารถเพิ่ม server ได้หลายตัวเพื่อบริการเดียวกัน อีกด้วย
3. มีเสถียรภาพมากขึ้น หาก server เดี้ยง เราเพียงแค่ติดตั้ง OS ใหม่เข้าไป ก็เรียบร้อย เพราะ Data เราอยู่ใน NAS ซึ่งตายยากมาก ในกรณีที่ไม่อยากให้ server ตายได้เลย เราก็เอา PC ห่วยๆ หลายๆ ตัว มาทำ Server ก็ได้ แล้วเอา load balance มาจัดการ
4. Independent on OS ไม่ว่า Server จะเป็นอะไร ก็สามารถใช้ DATA เดียวกันได้ ลองจินตนาการดูว่า Server เป็น Linux, OpenBSD, FreeBSD, NetBSD, Sun Solarisแต่ใช้ User สามารถใช้งาน Server ไหนที่ตัวเองถนัดก็ได้ โดยมี Data ของตัวเองในทุก OS

ยังมีอีกมากมาย ที่ไม่สามารถอธิบายได้หมด ลองตั้งคำถามมาละกันนะครับ

[Edited by lordbsd on 10-30-2002 at 09:48 PM GMT]