-
หลายคนอาจจะพอคุ้นๆ หน้าตา และชื่อของเธอกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้มา
ออกรายการจับเข่าคุยกัน(ออกอากาศเมื่อวันที่ 14 ก.ค.50) ...ทำให้เธอดังข้ามคืนเลยที
เดียว เพราะหลายคนต่างทึ่งในความเก่ง ความคิด ความสามารถ และความน่ารักของเธอ
....มาทำความรู้จักเธอกันเลยค่ะ
วนิษา เรซ หรือ หนูดี หญิงเก่งของไทย (อเมริกัน) วัย 30 ปี
http://www.uppicz.info/f.php/95b821047310ae0a.jpg
จบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้าน ครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์
คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา
ปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง (Neuroscience) ในโปรแกรม Mind,
Brain and Education
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกาปัจจุบัน - เป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษา
ด้านอัจฉริยภาพ(เพียงคนเดียวในไทย)
และผู้ชนะล้านที่ 15 รายการ "อัจฉริยะข้ามคืน"
ประธานกรรมการ บริษัท อัจฉริยะสร้างได้ จำกัด www.geniuscreator.com
ผู้อำนวยการโรงเรียนวนิษา www.vanessa.ac.th
เป็นผู้นำเสนอแนวคิด - คนทั่วไปก็สร้างและฝึกฝนให้เป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน - เขียน
หนังสือ"อัจฉริยะสร้างได้"
พื้นฐานที่คุณแม่สร้างให้โรงเรียนวนิษา ตั้งขึ้นโดยมี คุณชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์ เป็นผู้ก่อตั้งภาย
ใต้แนวความคิดซึ่ง คุณชุมศรีได้ให้สัมภาษณ์ ไว้ในเอกสารชื่อว่า “ ปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้เรียน
สำคัญที่สุด ” ของ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2543 ว่า
...ดิฉันไม่เชื่อวิธีที่โรงเรียนส่วนใหญ่ทำอยู่ จับเด็กมาขังในคอก ไม่อยากจะใช้คำนี้ แต่มัน
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ บังคับเด็กมานั่งนิ่ง ๆ จำกัดศักยภาพการเติบโตของสมอง ”
"โชคดีที่คุณแม่วางพื้นฐานทางความคิดมาให้ตั้งแต่เด็กๆ โดยริเริ่มเปิดโรงเรียนสอนหนูดีคน
เดียวก่อน ชื่อโรงเรียนวนิษา เป็นโรงเรียนที่ไม่ให้เด็กต้องมานั่งท่อง ก.ไก่ ข.ไข่ แต่ใช้
วิธีการสอนแบบใหม่ คือให้เด็กคิดแบบอิสระ กล้าที่จะถาม ซึ่งตอนแรกคิดว่าไม่มีใครสนใจ แต่
พอคนเริ่มเห็นกิจกรรมต่างๆ ที่ทางรร.สอนเด็ก อย่างวิชาวิทยาศาสตร์ก็จะมีการพาเด็กไปดู
สวน ธรรมชาติ ก็เลยสนใจส่งลูกๆ มาเรียนกัน"
"แต่พอขึ้นมัธยมหนูดีก็ย้ายมาเรียนรร.สตรีล้วน ปรากฏว่าเราเข้ากับระบบการศึกษาไม่ได้
พอจบมัธยมหนูดีก็เลยตัดสินใจขอคุณแม่ไปเรียนต่อป.ตรีที่มหาวิทยาลัยแมริแลนด์ อเมริกา พอ
จะต่อโทก็ประจวบเหมาะได้ศึกษาแนวความคิดขอโปรเฟสเซอร์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ที่ว่าคน
เรามีความอัจฉริยะที่แตกต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง"
"พอทราบว่าเขากำลังเปิดสอนปริญญาโทหลักสูตรเกี่ยวกับสมองเป็นหลักสูตรแรกที่ฮาร์วาร์ด
หนูดีก็เลยสมัครเข้าไปเรียนเพื่อนำความรู้มาพัฒนาระบบความคิดของคนไทยใหม่ ซึ่งตอน
นี้รร.วนิษาก็เริ่มใช้ระบบนี้แล้ว อีกทั้งหนูดียังเปิดบริษัทอัจฉริยะสร้างได้ ให้คำปรึกษา 3 ส่วน
คือ ดูแลเรื่องหลักสูตรโรงเรียน เทรนนิ่งครูและผู้บริหาร"
"เป็นที่ปรึกษาการพัฒนาศักยภาพองค์กรต่างๆ และหลักสูตรครอบครัวอัจฉริยะ เปิด
สัมนาสำหรับบุคคลทั่วไป เพราะหนูดีคิดว่าครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอัจฉริยะภาพที่ดี
ที่สุดค่ะ"
ในช่วงปริญญาตรี
http://www.uppicz.info/f.php/fe216eba17fb8f05.jpg
ชีวิตแต่ละวันผ่านไปด้วยความหนักและเหนื่อย ท่องหนังสือเยอะมาก เวลาที่จะออกกำลังกาย
ออกไปเที่ยวกับเพื่อนก็น้อย เมื่อมารวมกับวัฒนธรรมของเพื่อนอเมริกัน ที่ชอบไปค้างอ้างแรม
ในป่า ไปปีนเขา พายเรือ เข้าถ้ำช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้หนูดีต้องแพ็คกระเป๋าตามไปด้วย
แต่ไม่ว่าจะไปป่าลึกแค่ไหน หรือ พายเรือไปค้างบนเกาะที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่
ได้ในกระเป๋าแบ็คแพ็ค คือ “หนังสือเรียน” หยิบออกมาทีไร โดนเพื่อนฝรั่งหัวเราะใส่ตลอด
ว่ามาเที่ยวนะ อีกอย่าง วันจันทร์ก็ไม่ได้มีสอบด้วย แต่หนูดีก็กลัวสอบได้คะแนนไม่ดี จนต้อง
ท่องหนังสือแทบทุกเวลาที่ว่าง
ประกอบกับเป็น นิสัยดั้งเดิมที่ติดไปตั้งแต่เมืองไทยด้วย คือ กลัวสอบตก กลัวทำให้พ่อแม่ผิด
หวัง แถมเราเป็นเด็กสองภาษา ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษภาษาเดียวเหมือนเพื่อนฝรั่ง หนูดีจึง
ต้องพยายามเป็นสองเท่า เวลาต้องเรียนหนักและไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ หรือ ไม่มีชีวิต
สบายๆแบบคนอื่น หนูดีก็จะปลอบใจตัวเองว่า“เดี๋ยวก็จบตรีแล้ว” แล้วก็ก้มหน้าท่องหนังสือต่อไป
โดยไม่เคยได้รู้ว่าชีวิตมีตัวเลือกอื่น ที่ทำให้เราเรียนได้ดีขนาดนี้เหมือนกัน
เวลาผ่านไปจนหนูดีเรียนเกือบจบปริญญาตรี ใบรางวัลเรียนดีที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนจำชื่อไม่ได้ว่า
ได้ใบประกาศเกียรติคุณด้านไหนบ้าง รู้แต่ว่าจะได้เกรดสลับกันไป บางเทอมได้ 4.00 บาง
เทอมได้ 3.9 รวมถึงจดหมายชมเชยจากอธิการบดี ที่จะส่งตรงมาถึงบ้านคุณแม่ที่เมืองไทยทุก
ครั้ง
แต่ทั้งหมดนี้ ก็มาพร้อมความเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของหนูดี รวมถึงความรู้สึก
ว่า สมัยนี้แค่ปริญญาตรีคงไม่พอ โอ้โห ถ้าหนูดีต้องเรียนปริญญาโทด้วยความรู้สึกแบบนี้ คง
ต้องตายก่อนเรียนจบแน่ๆ
คือ หนูดีอยากรู้ว่า ทำอย่างไรคนเราถึงจะฉลาด เป็นอัจฉริยะกันได้ โดยยังใช้ชีวิตดำเนิน
ทางสายกลางอย่างมีความสุข ไม่ต้องหักโหม ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่หนูดีเคยทำมา และ
เหมือนเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนอื่นๆที่ได้เกียรตินิยมเหมือนกัน
เช็คแล้ว ปรากฏว่า ที่เดียวในโลก ที่สอนด้านสมอง แต่ไม่ใช่ให้เราไปผ่าตัดนะคะ แต่เรียน
ให้รู้ว่า สมองคืออะไร ทำงานอย่างไร และรู้ว่า ทำตัวอย่างไร ถึงจะใช้สมองให้คุ้มค่า มี
ศักยภาพที่สุด ก็มีอยู่ที่เดียวในโลกเท่านั้น คือ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่บอสตัน สหรัฐ
อเมริกา
เห็นชื่อมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ตกใจ ถอยมาหนึ่งก้าว เพราะถึงจะเป็นนักเรียนระดับเกียรตินิยม
มา แต่ก็ไม่ใช่ว่า เด็กคะแนนดีทุกคนจะเข้าเรียนที่นี่ได้ เพราะ เป็นมหาวิทยาลัย อันดับหนึ่ง
ของโลก ใครๆก็เรียนเก่งมาทั้งนั้นตัวหนูดีเอง เรียนที่แมรี่แลนด์ ซึ่งก็จัดว่าอยู่ในระดับดี แต่
ก็ได้แค่ประมาณอันดับที่ยี่สิบ อันดับที่ยี่สิบห้าของประเทศอยู่เท่านั้น....
ขนาดแค่นี้ ยังเรียนหนักจะตาย แล้วอย่างที่ฮาร์วาร์ด หนูดีมิต้องตายคาหนังสือหรือนั่น แถม
เพื่อนๆ ก็คงเก่งระดับอัจฉริยะกันทุกคน...นึกๆไปว่า คงไม่มีใครคุยกันหรอก คงแข่งกัน
เรียน แข่งกันทำงาน ไม่มีใครมีเวลาเสวนากับใครแน่ๆ.....แถมสมัครไปก็ไม่รู้ว่าเขาจะรับ
เราหรือเปล่า เพราะนอกจากเรียนเก่งแล้ว ก็ต้องประวัติดี มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร มี
จดหมายรับรองชั้นดี สารพัด
แต่ก็เอาค่ะ ฮึดสุดชีวิต ตั้งหน้าตั้งตาสอบวัดมาตรฐาน เขียนจดหมายแนะนำตัวอย่างใช้ความ
คิดทุกหยด เตรียมตัวเป็นเดือน สมัครไป รอคำตอบอีกครึ่งปี......
ระหว่างที่รอคำตอบจากฮาร์วาร์ด เธอได้กลับมาพักผ่อนที่เขาหลัก และอยู่ในเหตุการณ์สึนามิ
http://www.uppicz.info/f.php/2f4d5d079bcb5220.jpg
กลับมาเมืองไทยวันแรกก็บินไปเที่ยวเขาหลักกับน้องสาว(หนูหวาน) แล้วน้องสาวอยากมาหาด
ป่าตองก็ขับรถกันไป แล้วตอนแรกก็จะลงเล่นน้ำแต่เปลี่ยนใจไปปีนเขากัน เลยทำให้รอดจาก
เหตุการณ์นี้ จากนั้นได้ไปช่วยเป็นอาสาสมัครเป็นล่ามแปลภาษาอยู่ 3 วันที่โรงพยาบาลพังงา
...จากที่ได้พบเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ หนูดีเลยกลับไปเขียนแนะนำตัวส่งให้ทางฮา
วาร์ดใหม่หมดเลย...ซึ่งเขียนวิเคราะห์ระบบการศึกษาไทยผ่านเหตุการณ์สึนามินี้ ซึ่งหนูดีก็
เคยเรียนโรงเรียนไทย หนูดีรู้ว่าเวลาปกติ ระบบการศึกษาไทยก็ไม่ได้สอนให้คนใช้ศักยภาพ
สมองเต็มที่อยู่แล้ว คนไทยไม่ได้ถูกฝึกกระบวนการคิด ไม่ได้ถูกฝึกในการที่จะสร้างสรรค์
นวัตกรรมใหม่
ฉะนั้นในเวลาปกติเราก็ไม่ได้เก่งเป็นพิเศษอยู่แล้วพอเจอภาวะฉุกเฉินหรือเหตุการณ์คับขันซึ่ง
เราน่าจะลดภาวะการณ์สูญเสียชีวิต หรือสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ได้ เช่น สามารถจะเตือนภัย
ได้ สามารถลดการสูญเสียคนได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะคลื่นสึนามิป้องกันง่ายมาก
คนวิ่งหนีไป 10 นาทีก็รอดแล้ว แต่พอไม่มากก็มีคนสูญเสียบาดเจ็บล้มตายเยอะ
..ระบบโรงพยาบาลก็ไม่เพียงพอ ที่โรงพยาบาลพังงา 3 วันแรกติดเชื้อเยอะมาก ก็ต้องย้ายผู้
ป่วย มีการขอรถพยาบาล ขอเฮลิคอปเตอร์ ทีนี้ขอไปแล้วไม่ส่งมา 1 วันก็แล้ว 2 วันก็แล้ว
มีฝรั่งคนหนึ่งจากบาดแผลปกติกลายเป็นแผลติดเชื้อ ต้องตัดขา ซึ่งเราเสียความรู้สึกมากกับ
ระบบตรงนี้ คือระบบของคนไทยแตกสลายลงทุกส่วนเลย เพราะระบบการศึกษามันไม่เอื้อให้
คนคิด พอคนไม่คิดมันก็กระทบเป็นโดมิโนหมด
ตอนท้ายจดหมายหนูดีก็เลยบอกว่าอยากเรียนด้านสมอง เพราะต้องการเอาตรงนี้มาช่วยเหลือ
คนในทุกสถานการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา นอกระบบการศึกษา และองค์กร
ต่างๆ ซึ่งหนูดีไม่เชื่อว่าคนในองค์กร ณ ปัจจุบันได้ใช้สมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ในที่สุด ฟ้าก็ส่งคำตอบมาในรูปจดหมายว่า “ยินดีด้วย คุณได้รับเลือกเป็นนักเรียนฮาร์วาร์ด
สำหรับปีการศึกษาหน้า”
โอ้โห ตกใจอีกรอบ น้ำตาไหลด้วยความดีใจ แล้วก็แอบมาเครียดเล็กๆว่า เอาอีกแล้ว ถึง
เวลาจมอยู่กับกองหนังสือเรียนอีกแล้ว คราวนี้คงยิ่งหนักเป็นสองเท่า เฮ้อ คิดแล้ว ภูมิใจปน
กลุ้ม
แต่วันเดินทางก็มาถึง แล้วหนูดีก็ไปโผล่ที่ ฮาร์วาร์ด สแควร์ ในฐานะ นักศึกษาใหม่ หน้าตา
ตื่นเต้น ในต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศสดใสที่บอสตัน แต่ในใจก็ยังกังวลและเครียดไม่วาย จน
ได้มานั่งอยู่ในห้องปฐมนิเทศ มีรุ่นพี่ของปีที่แล้วมาให้คำแนะนำว่า จะเรียนอย่างไร ให้ประสบ
ความสำเร็จที่ฮาร์วาร์ด โดยมีเหตุผลว่า พวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ ถือว่าเป็นผู้ชนะของ
สังเวียนที่ยากที่สุด คือการฝ่าด่านสิบแปดอรหันต์เข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ที่นี่ได้ แต่หลายคนคง
เรียนมาด้วยวิธีผิดๆ คือ เรียนหนักเข้าว่า โดยไม่ได้“เรียนอย่างฉลาด”
วันนั้น หนูดีได้เกร็ดจากรุ่นพี่มาเยอะมาก ซึ่งก็รวมอยู่ใน “เทคนิคเรียนเก่งอย่างอัจฉริยะ” ที่
หนูดีตัดสินใจเปิดเพื่อให้ความรู้ดีๆ ส่งต่อไปถึงน้องนักเรียนรุ่นหลังๆ เหมือนที่หนูดีได้รับมา
จากรุ่นพี่ระดับอัจฉริยะ ทุกคน
แล้วตลอดเวลาที่เข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด หนูดีก็ได้เรียนรู้เทคนิคดีๆ ที่มหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งแห่งนี้
ได้คิดและทำวิจัยมาใช้กับเด็กของเขาโดยเฉพาะ เพราะคนกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่เรียน
หนักมาก เรียนยากมาก และการค้นพบใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลก ก็มักถูกค้นพบที่นี่ หรือ โดย
นักศึกษา และคณาจารย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งนั้น
หนูดีได้เรียนรู้เทคนิคการจัดหมวดความคิด การสรุปย่อให้ตรงประเด็น การอ่านเร็วและจับใจ
ความโดยไม่ตกหล่น การเขียนบทความวิชาการระดับโลก การเขียนรายการชนิดเอาไปนำ
เสนอกับคองเกรสได้เลย หรือ การอภิปรายแสดงความคิดแบบผู้นำระดับโลก คือทุกอย่างที่
เราถูกสอน จะถูกสอนประหนึ่งว่า พรุ่งนี้ เราต้องไปรับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี หรือ
ประธานาธิบดีนั่นเชียว
http://www.uppicz.info/f.php/ca6c41ab64ccccf9.jpg
เพราะมหาวิทยาลัยนี้ ผลิตผู้นำในทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศ ผู้นำองค์กร ผู้นำทาง
การแพทย์ ผู้นำวงการการศึกษา ประธานาธิบดีอเมริกาหลายคนก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่ รวมถึงว่าที่
กษัตริย์ ที่เป็นเป็นขวัญใจชาวไทย อย่างองค์มกุฎราชกุมารจิกมี แห่งภูฐาน ซึ่งมาเรียนเรื่อง
การปกครอง ที่โรงเรียนเคนเนดี้ ฝั่งข้ามแม่น้ำชาร์ลส์ของหนูดีนี่เอง ดังนั้น อาจารย์ จะฝึก
เราไว้เตรียมรับทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่เมื่อการเรียนโดยเนื้อหา ถือว่ายากมากแล้ว กระบวนการเรียน ก็เลยถูกคิดค้นให้มี
ประสิทธิภาพมากที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะไม่เช่นนั้น ทั้งมหาวิทยาลัยคงไม่มีใครได้
นอนกันแน่ เพราะงานเยอะมาก แม้แต่วิธีการอ่านก็ต้องย่นย่อ ให้อ่านได้มากที่สุด ในเวลาที่
ประหยัดที่สุด เพราะเราอ่านกันในปริมาณมหาศาล เป็นตั้งๆทุกคืน แถมต้องตีความและ
อภิปรายอย่างฉลาดด้วย ทั้งๆที่แค่อ่านให้จบนับว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าใช้วิธีการอ่านอย่าง
ปรกติที่หนูดีใช้สมัยเรียนปริญญาตรี คงไม่ได้ทำอะไรอื่นๆในชีวิตอีกเลย
พอมาเรียนรู้กระบวนการเรียนใหม่ ที่ใช้ข้อมูลทางสมองเป็นพื้นฐาน ทำให้หนูดีเรียนได้อย่าง
มีความสุขอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต และนอกจากเรียนได้ดี โดยเทอมแรกก็คว้าเกรด
เฉลี่ย 4.00 มาครองเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่โดนขู่ไว้ตลอดว่า เรียนที่นี่ ใครจะเก่งมาจากไหน
ยากมากที่เทอมแรกจะได้ เอ ทุกตัว แต่หนูดีก็ทำได้มาแล้ว ด้วยสุขภาพจิตที่เปลี่ยนไปเป็นคน
ละคน เรียนไปยิ้มไป เรียนที่นี่ เรียนด้วยความมั่นใจ เพราะเรา “เรียนเป็น” แล้ว และที่
น่าทึ่ง คือหนูดีได้นอนหลับประมาณ แปดชั่วโมงทุกคืน และได้ออกกำลังกายสัปดาห์ละ สามครั้ง
เป็นประจำ จิตใจแจ่มใส สมองก็ปลอดโปร่ง เรียนได้ดีจนไปติวเพื่อนได้เป็นกลุ่มๆ ทุกคนน่า
รักและเป็นมิตร จนเราได้เพื่อนกลุ่มใหญ่ติดมือกลับมาเมืองไทย
และในที่สุด วันรับปริญญาโทก็มาถึง ซึ่งหนูดีก็ได้ร่วมกับงานรับปริญญาที่ขลังและเก่าแก่ที่สุดใน
โลก ด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมอีกแล้ว
http://www.uppicz.info/f.php/c923367bb10cb452.jpg
แต่คราวนี้ที่ต่างไป คือความสุข ความมั่นใจของหนูดี ที่รู้แล้วว่า เรียนเก่งระดับอัจฉริยะแบบนี้
ไม่ต้องเครียด ก็ทำได้ แถมมีเวลาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากมาย แล้วก็กลายเป็นความตั้งใจ
ว่า หนูดีจะต้องนำความรู้ที่ดีๆ ที่คนไทยน้อยคนจะมีโอกาสได้ไปรับรู้ มาให้เด็กไทย คนไทย
ได้นำไปใช้ เพราะประเทศของเราก็เรียนกันหนัก แข่งกันเรียน แข่งกันสอบ...ถ้าเรา“คิด
เป็น” เราก็จะ “เรียนเป็น” และเมื่อทำงานก็จะ “ทำงานเป็น” แบบที่พวกอัจฉริยะเขาเป็น
กัน
ครูหนูดี ตั้งใจว่า ก่อนจะบินกลับไปเก็บตัวในห้องวิจัยเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกเธอจะใช้เวลา2
ปี "ติวเข้ม" ให้คนอีก 4 กลุ่มเรียนรู้ในการพัฒนาตัวเอง นั่นคือ กลุ่มนักเรียนม.ปลาย ที่
กำลังเตรียมตัวเอนทรานซ์อย่างหน้าดำคร่ำเครียด นักศึกษาเรียนหนัก กลุ่มพ่อแม่ฝึกลูกให้เป็น
อัจฉริยะ และกลุ่มยังก์โปร หรือคนทำงานรุ่นใหม่
ผ่านงานเขียนหนังสือ และการฝึกอบรม ภายใต้บริษัทจัดอบรม "อัจฉริยะสร้างได้"
เริ่มจากการปั้นเด็กๆ ในโรงเรียนวนิษาที่เธอนั่งบริหารอยู่ให้เป็นเด็กน้อยแสนอัจฉริยะ และ
มีความสุข
หลายคนบอกว่าเธอหน้าคล้ายกับเยลหลี + แหม่ม คัทลียา, อยากให้เธอได้มีโอกาสมาดูแลก
ระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพัฒนาหลักสูตร ระบบการศึกษาของไทย แต่เร็วๆ นี้แว่วข่าวมาว่า
เธอจะมาร่วมทำงานในรายการเรื่องเล่าเช้านี้..ต้องคอยติดตามกันต่อไปนะคะ
ที่มา...รายการจับเข่าคุยกัน