-
ยาวหน่อยนะ แต่อ่านแล้วได้ประโยชน์แน่
Credit: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=d...7&gblog=281
ถ้าอยากอ่านแบบมีสีสันก็เข้าไปอ่านในเวปเลยนะ ^^
เมื่อองค์ดาไลลามะขึ้นบนเวทีในการประชุมประจำปีของสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience 2005) ผู้ร่วมงานหลายคนสงสัยว่าผู้นำศาสนาพุทธจะกล่าวอะไรเกี่ยวกับประสาทวิทยาศาสตร์ ศาสนาอันเก่าแก่และประสาทวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นี้มีอะไรที่เหมือนกันอย่างนั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของการปาฐกถา พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ผู้นำทางศาสนาและนักประสาทวิทยาศาสตร์รู้อยู่แล้วคือ นอกเหนือจากความแตกต่างทางหลักการบางอย่างแล้ว จุดมุ่งหมายของศาสนาทางตะวันออกและประสาทวิทยาศาสตร์ทางตะวันตกต่างมีอุดมการณ์ร่วมกัน "ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธอันเก่าแก่และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะเกิดมาจากรากฐานทางประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่โดยแก่นแท้แล้ว ทั้งสองอย่างมีสิ่งสำคัญที่เหมือนกันมากมายโดยเฉพาะในเรื่องมุมมองด้านปรัชญาและหลักการพื้นฐาน" องค์ดาไลลามะกล่าว
สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือความพยายามในการเข้าใจ เยียวยารักษา และเพิ่มประสิทธิภาพจิตใจมนุษย์คือ พุทธศาสนิกชนจะอาศัยการไตร่ตรองสิ่งๆ นั้นอย่างมีระบบและนักวิทยาศาสตร์ก็อาศัยการศึกษาและการทดลองที่เป็นขั้นตอน จะเห็นได้ชัดว่าเอกสารทางวิทยาศาสตร์ได้ตรวจวัดถึงผลเชิงบวกที่สนับสนุนการนั่งสมาธิ (meditation) ว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่ายสำหรับมนุษย์เพื่อค้นหาและจัดการกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้
วงการประสาทวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับสมองสามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองกับประสบการณ์ทางร่างกายและข้อมูลที่รับมาจากโลกภายนอก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าความยืดหยุ่นของระบบประสาท (neuroplasticity) ดังนั้น มันไม่แปลกที่นักวิทยาศาสตร์จะสงสัยว่าสมองสามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองต่อสัญญาณจิตภายในหรือไม่ การนั่งสมาธิของพระพุทธศาสนาได้เปิดโอกาสให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ตรวจหาพลังของจิตและความสนใจในการเปลี่ยนพฤติกรรมด้านร่างกายของสมอง
การนั่งสมาธิหมายถึงขั้นตอนหรือวิธีปฏิบัติเพื่อเพ่งความสนใจหรือสติภายในใจ รากฐานของสมาธิสามารถย้อนกลับไปเมื่อมนุษย์ได้ไตร่ตรองโลกรอบตัวพวกเขา แต่รูปแบบการทำสมาธิเริ่มขึ้น 1,000 ปีก่อนพร้อมกับพิธีกรรมทางศาสนาและทางความเชื่อเรื่องผีสาง
ตามประวัติศาสตร์แล้ว การนั่งสมาธิถูกใช้เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายทางจิตวิญญาณที่สูงขึ้น ในปัจจุบัน การนั่งสมาธิเกิดขึ้นในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกโดยมีจุดประสงค์มากมายไม่ใช่แค่ด้านศาสนาเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์เหล่านี้ยังรวมถึงการเพิ่มสมรรถภาพด้านจิตใจที่ช่วยเพิ่มความสามารถของจิตใจในการเพ่งพินิจ เพิ่มอารมณ์เชิงบวก ลดความวิตกกังวล และความเครียด บรรเทาความเจ็บปวด และช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นอีกด้วย
ในปัจจุบัน ผู้คนหลายล้านคนรวมถึงชาวอเมริกากว่า 10 ล้านคนฝึกการนั่งสมาธิบางประเภทอยู่ ประเภทสมาธิที่งานวิจัยมุ่งเน้นมากที่สุดคือการนั่งสมาธิแบบควบคุมจิต (transcendental meditation) ซึ่งผู้ฝึกจะเพ่งจิตไปที่คำ เสียง หรือวลีซ้ำเดิม และการนั่งสมาธิตามแบบพุทธศาสนา (Buddhist technique of mindfulness meditation) ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบอเมริกา
ในการฝึกนั่งสมาธิตามแบบพุทธศาสนาบางแบบ ผู้ฝึกจะเพ่งความสนใจไปยังลมหายใจเพื่อให้เกิดสติและรับรู้ถึงสิ่งเร้าในตอนนั้นๆ กระบวนการนี้ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสมดุลและการควบคุมทางอารมณ์ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจมาก หลักของการฝึกนั่งสมาธิมีหลักอยู่ 2 อย่างคือการให้ความสนใจหรือมีสติให้อยู่ด้านหนึ่ง และให้การกำหนดและการปรับอารมณ์อยู่อีกด้านหนึ่ง "ทั้งสองอย่างนี้ ฉันรู้สึกว่ามันมีศักยภาพมากสำหรับงานวิจัยร่วมระหว่างประสาทวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนา" องค์ดาไลลามะกล่าว
การศึกษาที่เผยแพร่อย่างกว้างขวางในตอนนี้ได้เปรียบเทียบกิจกรรมสมองของผู้ฝึกนั่งสมาธิแบบพุทธศาสนาระยะยาวที่ได้นั่งสมาธิไปแล้วมากกว่า 10,000 ชั่วโมงกับกิจกรรมสมองของอาสาสมัครที่อายุเท่ากันและสุขภาพดีที่ไม่เคยฝึกนั่งสมาธิมาก่อนแต่ทุกคนได้เรียนรู้วิธีฝึกสมาธิก่อนการทดลอง นักวิทยาศาสตร์ให้ผู้ถูกทดลองอยู่ในสมาธิหลายครั้งสลับการพัก ประเภทของการนั่งสมาธิที่แต่ละกลุ่มใช้จะเกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้สึกเมตตาและความกรุณาต่อทุกสิ่งโดยปราศจากการคิดถึงบุคคลหรือสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะ
ช่วงก่อน ระหว่าง และช่วงหลังการฝึกสมาธิ นักวิจัยได้บันทึกคลื่นแกมม่า (gamma band) ซึ่งเป็นสัญญาณสมองที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของจิตใจที่เพิ่มขึ้นเช่นความสนใจ การเรียนรู้ และการรับรู้อย่างมีสติ พวกเขายืนยันว่าพระสงฆ์มีระดับคลื่นแกมม่ามากกว่าคนที่ไม่ได้ฝึก ซึ่งบ่งบอกว่าการฝึกนั่งสมาธิระยะยาวอาจจะเปลี่ยนแปลงภาวะสมองพื้นฐานได้ นักวิจัยเห็นพ้องว่าการศึกษานี้แสดงถึงจุดเริ่มต้นและต้องมีการศึกษาอีกมากเพื่อตรวจสอบผลทางสมองและพฤติกรรมหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
งานวิจัยอื่นๆ ได้ตรวจสอบพระธิเบต 76 รูปที่ได้ฝึกนั่งสมาธิมาเป็นระยเวลา 5-54 ปี จากการใช้การทดสอบภาพลวงตาที่เรียกว่า perceptual rivalry นักวิจัยค้นพบหลักฐานว่าการนั่งสมาธิสามารถเพิ่มทักษะด้านความสนใจและความสามารถในการปรับจิตใจให้เป็นปกติได้ นักวิจัยกล่าวว่าผลการทดลองสนับสนุนข้ออ้างที่ว่าการฝึกนั่งสมาธิมีผลกับสภาพจิตใจของแต่ละคนได้อย่างแท้จริงและสามารถตรวจวัดได้
พระทิเบตที่เชี่ยวชาญในการนั่งสมาธิสามารถกำจัดสิ่งเชิงลบ (โดยเฉพาะอารมณ์และความเจ็บปวด) โดยการเพิ่มคลื่นสมองที่เรียกว่าคลื่นแกมม่าที่สามารถตรวจวัดได้ในห้องทดลอง ริชาร์ด เดวิดสัน (Richard Davidson) แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซินเมดิสันทดสอบพระแปดรูป (กราฟบน) ในช่วงนั่งสมาธิ พระทิเบตเหล่านี้สามารถเพิ่มคลื่นแกมม่าเป็นสองเท่า (ดอกจันสีดำ) หรือสามเท่า (ดอกจันสีส้ม) จากช่วงพักได้ รูปด้านล่างแสดงถึงพื้นที่สมองที่เกิดคลื่นแกมม่า อาสาสมัครแปดคนที่เพิ่งเรียนรู้ถึงวิธีนั่งสมาธิถือเป็นกลุ่มควบคุม (รูปล่างซ้าย) แสดงให้เห็นว่ามีคลื่นแกมม่าเกิดขึ้นได้น้อยมากเมื่อเทียบกับพระทิเบต (รูปล่างขวา)
ตามการค้นพบในปัจจุบัน การนั่งสมาธิยังสามารถเปลี่ยนโครงสร้างและหน้าที่ของสมองได้อีกด้วย หนึ่งในการศึกษาจำนวนมาก นักวิจัยแห่งโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดได้ใช้การถ่ายภาพแม่เหล็กกำทอน (magnetic resonance imaging, MRI) กับสมองของคนจำนวน 15 คนที่ไม่เคยฝึกนั่งสมาธิมาก่อนกับคนที่ฝึกนั่งสมาธิแบบพุทธศาสนาจำนวน 20 คน พวกเขาค้นพบว่าพื้นที่สมองที่เกี่ยวข้องกับความสนใจและประมวลผลทางการรับสัมผัสในคนที่ฝึกนั่งสมาธิจะหนากว่าคนไม่ฝึกนั่งสมาธิ นักวิทยาศาสตร์ยังสงสัยอยู่ว่านี่เป็นผลจากการฝึกนั่งสมาธิหรือเป็นการคล้อยตามการฝึกในช่วงแรกกันแน่ ความหนาขึ้นที่เห็นได้ชัดเจนจะพบได้ในคนนั่งสมาธิที่อายุมากในส่วนเปลือกสมองชั้นนอก (outer cortex) ที่เชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับการประมวลผลด้านอารมณ์และการรับรู้ให้สมบูรณ์ขึ้น สิ่งนี้ (รวมกับการสังเกตการเพิ่มขึ้นของความหนาของเปลือกสมองตามระยะเวลาที่ผู้ฝึกใช้) บ่งชี้ว่าการฝึกนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมออาจจะช่วยลดการบางลงของพื้นที่สมองที่มีความสำคัญในการรับรู้และการประมวลผลด้านอารมณ์ตามอายุที่มากขึ้น
ขณะที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการถ่ายภาพช่วยให้นักวิจัยจำแนกพื้นที่สมองที่ถูกกระตุ้นมากที่สุดในช่วงการนั่งสมาธิได้นั้น การศึกษาอื่นมากมายได้แสดงถึงประสิทธิภาพของการนำเอาการนั่งสมาธิมาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโรคความดันสูง โรคเกี่ยวกับการกิน ภาวะซึมเศร้า และความเจ็บปวดเรื้อรังอีกด้วย นอกจากนี้ กลุ่มนักวิจัยกลุ่มหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซินค้นพบว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างการนั่งสมาธิและการเพิ่มขึ้นของภูมิคุ้มกัน
ขณะที่การศึกษาในปัจจุบันได้ให้ภาพรวมของการนั่งสมาธิอยู่นั้น การทดลองต่อๆ ไปจะช่วยให้รายละเอียดในเรื่องจิตใจของเรามีอิทธิพลต่อร่างกายเราอย่างไรให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นตัวอย่างเช่น การศึกษาอันใหม่จะตรวจสอบว่าการฝึกนั่งสมาธิอย่างจริงจังเป็นเวลานานสามารถช่วยให้ความสามารถในการกระตุ้นความสนใจและอารมณ์ของคนๆ หนึ่งให้ดีขึ้นได้อย่างไร งานวิจัยใหม่อื่นๆ จะตรวจสอบว่าการนั่งสมาธิสามารถทดแทนการนอนหลับได้หรือไม่ รวมถึงเทคนิคการลดความเครียดและการฝึกจิตอย่างการนั่งสมาธินี้สามารถช่วยเพิ่มและป้องกันการลดลงด้านการรับรู้ที่มักเกิดขึ้นเมื่อคนเราอายุมากขึ้นได้จริงหรือไม่อีกด้วย
บางทีการทดลองเหล่านี้และอื่นๆ จะช่วยให้สิ่งที่สืบทอดกันมานานหลายพันปีนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมสมัยใหม่ที่ดูเหมือนห่างไกลจากความเงียบและความสงบก็เป็นได้
-
โหท่าน ยาวขนาดนี้พื้นขาวดำด้วย อ่านตอนตีหนึ่งครึ่ง สุดๆ เลยครับ ขอเซฟไปอ่านพรุ่งนี้น๊ะครับ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ