asylu3
20-10-2002, 10:24 PM
ตำนานแฮคเกอร์
แฮคเกอร์ (Hacker), แครกเกอร์ (Cracker) และผู้ไม่หวังดีต่อคอมพิวเตอร์ (Computer Vandal)
แรกเริ่มเดิมที คำว่า"แฮคเกอร์"นั้นหมายถึง บุคคลที่ความเข้าใจในการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างลึกซึ้ง จนถึงขั้นสามารถเขียนโปรแกรมได้อย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด โดยที่ไม่ต้องคิดวางแผนไว้ก่อนเลยว่าจะเขียนโปรแกรมไปในแนวทางไหน ความเข้าใจและทักษะทางคอมพิวเตอร์ของคนประเภทนี้ดูเหมือนเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เกิด คนพวกนี้ยังมีลักษณะที่เหมือนกันอีกประการหนึ่งคือ มีความกระหายในการใช้คอมพิวเตอร์และข้อมูลมากเสียจนมีความต้องการให้คอมพิวเตอร์และข้อมูลทั่ว ๆไปเปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าไปใช้ได้อย่างอิสระและไม่คิดมูลค่า ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
นั่นทำให้คำว่า "การแฮค" มีความหมายถึง การเข้าไปสำรวจตรวจตราระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ ก็ตามอย่างอิสระเสรี เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นทางวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ จริงๆ แล้ว การแฮคมีความหมายสองความหมายแฝงอยู่ คือการท่องไปในระบบเพื่อค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้และสิ่งที่ต้องห้าม และการเขียนโปรแกรมอย่างมีชั้นเชิง เราอาจสืบสาวหาต้นกำเนิดของคนพันธุ์ที่กระหายใคร่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์อย่างแรงกล้าและต้องการทำทุกอย่างที่ไม่ผิดกฏหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้นี้ ไปที่บรรดามหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมหัวกะทิทางวิชาการ โดยเฉพาะเอ็มไอที และสแตนฟอร์ด ในยุคทศวรรษที่ 60
แต่ปัจจุบัน คำว่า "การแฮค" กลับถูกนำไปใช้เรียกการบุกรุกเข้าไปยังระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือใช้หมายถึงอาชญากรรมใดๆ ที่คนร้ายกระทำต่อคอมพิวเตอร์หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ยุคแรกเกิดขึ้นในในตอนต้นทศวรรษที่ 70 เมื่อพนักงานขายรู้จักใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างหลักฐานการขายปลอมขึ้นมาเพื่อตบตาเจ้านายของตน ความเสียหายที่เกิดจากแฮคเกอร์ของยุคนั้นคิดเป็นมูลค่าหลายล้านเหรียญ การที่หนังสือเล่มนี้ถือว่าการฉ้อโกงเหล่านั้นเป็นการกระทำของแฮคเกอร์ด้วย ก็เพราะเราดูการกระทำเป็นหลัก การเข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องทั้งสิ้น โดยไม่ต้องสนใจว่าผู้กระทำมีเจตนาดีร้ายอย่างไร
สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ความหมายของคำว่า "แฮคเกอร์" บิดเบือนไปจากความหมายดั้งเดิม ก็เพราะผู้บุกรุกระบบคอมพิวเตอร์โดยประสงค์ร้ายเหล่านั้นนั่นเองที่มักเรียกตัวเองว่า"แฮคเกอร์" เพราะย่อมไม่มีใครยอมรับอยู่แล้วว่าตนเป็น "นักบุกรุกระบบคอมพิวเตอร์" หรือ "แครกเกอร์" (นักงัดแงะ) หรือ "ผู้ไม่หวังดีต่อคอมพิวเตอร์" ส่วนคำที่ใช้เรียกเพื่อแยกแยะแฮคเกอร์ดีออกจากแฮคเกอร์ไม่ดีเหล่านี้ ถูกนำมาใช้โดยแฮคเกอร์ที่ถือว่าพวกตนเป็นแฮคเกอร์ขนานแท้และดั้งเดิม ผู้ซึ่งไม่ยอมให้คำว่าแฮคเกอร์ถูกทำให้แปดเปื้อนโดยบรรดาผู้บุกรุกระบบที่ไม่มีคุณธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่เองที่พวกเขาเหล่านั้นจะค้านอย่างหัวชนฝาในการใช้คำว่าแฮคเกอร์กับพวกประกอบอาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างเหมารวมเช่นนี้ เพราะนั่นได้ทำให้ศักดิ์ศรีของแฮคเกอร์ขนานแท้และดั้งเดิมอย่างพวกเขาถูกบั่นทอนลงไป แต่ดูเหมือนว่าคงจะยากที่จะเปลี่ยนความเคยชินของคนส่วนใหญ่เสียแล้ว แม้จะมีบางส่วนที่ใช้คำอื่นแทนคำว่าแฮคเกอร์อยู่บ้าง เช่นคำว่า "ไซเบอร์พังก์" เป็นต้น
พวกแฮคเกอร์ยุคใหม่สืบเชื้อสายมาจากคนอีกพวกหนึ่งซึ่งหลงใหลในการเล่นกับระบบโทรศัพท์ ซึ่งมีชื่อเฉพาะว่าพวก"เล่นโทรศัพท์" (Phone Phreaks) คนพวกนี้ดำรงตนอยู่ในเจตนารมณ์ของพวกฮิปปี้ที่ไม่ต้องการมีชีวิตที่ขึ้นกับใคร (การใช้ชีวิตแบบยิปปี้ส์ - Yippies) พวกเขาเล่นกลกับระบบโทรศัพท์จนสามารถโทรฟรีไปไหนก็ได้เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งการต่อต้านการขึ้นภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในสมัยสงครามเวียดนาม เมื่อเวลาผ่านไป ระบบโทรศัพท์มีการพัฒนามาใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานมากยิ่งขึ้น พวกเล่นโทรศัพท์จึงมีโอกาสได้ยักย้ายถ่ายเทความสามารถมายังระบบคอมพิวเตอร์ด้วย
ในทางปฏิบัติ ทุกวันนี้ คำว่า "phreaking" และ "hacking" แทบไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย เช่นเดียวกับระบบโทรศัพท์กับระบบคอมพิวเตอร์ที่นับวันจะมีความเกี่ยวดองกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบบโทรศัพท์ก็อาศัยคอมพิวเตอร์ในการทำงาน ส่วนระบบคอมพิวเตอร์ก็ติดต่อสื่อสารกันผ่านทางระบบโทรศัพท์
แฮคเกอร์ยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นหรือนักเรียนนักศึกษาที่มีพื้นฐานทางบ้านอยู่ในระดับชนชั้นกลาง ไม่ได้ขัดสนยากจนเท่าใดนัก และมีความคิดต่อต้านวัตถุนิยมอย่างเห็นได้ชัด (แต่ไม่ต่อต้านการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ) แฮคเกอร์คนใดก็ตามที่มีแรงจูงใจในการแฮคจากเงินทองหรือวัตถุต่างๆ (ซึ่งตรงกันข้ามกับแรงจูงใจที่ไม่เป็นวัตถุนิยม เช่น ความต้องการอำนาจ ความรู้ และสถานภาพทางสังคม) จะถูกดีดออกไปจากกลุ่มอย่างรวดเร็ว
แฮคเกอร์เหล่านี้มองภาพตัวเองว่า พวกเขาเป็นเหมือนคาวบอยในยุคตะวันตกเฟื่องฟูที่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้ เป็นผู้บุกเบิกชั้นหัวกะทิแห่งโลกอิเลคทรอนิค โลกซึ่งผู้ที่แฮคเก่งที่สุดสมควรได้รับการยกย่องมากที่สุด เช่นเดียวกับที่มือปืนที่ชักปืนได้รวดเร็วที่สุดได้เป็นวีรบุรุษแห่งตะวันตก การตีกรอบคนพวกนี้ให้ยอมรับกฏเกณฑ์ของสังคมและของทางการดูจะเป็นการบีบคั้นจิตใจพวกเขาอย่างที่สุด
แฮคเกอร์ไม่เคยคิดว่าการแฮคของพวกเขาเป็นการกระทำของ"โจร" เพราะพวกเขาคิดว่า การใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบโทรศัพท์ของผู้อื่นโดยที่ไม่ได้ไปทำอันตรายใครนั้น มันเป็นแค่การเล่นสนุกเท่านั้น คิดดูสิ ระบบโทรศัพท์ก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีใครใช้หรือไม่มีใครใช้มันก็ตาม ไม่เห็นมีใครเสียหายอะไรสักหน่อย จริงมั้ย ตราบใดที่คุณไม่ได้ไปทำให้ระบบใช้การไม่ได้ ไม่ได้ใช้ทรัพยากรของระบบมากจนเกินไป และไม่มีใครจับคุณได้ เพราะไม่เห็นมีอะไรสึกหรอไปแม้แต่อย่างเดียว และคุณก็ไม่ได้ "ขโมย" อะไรไปเลยด้วย
แฮคเกอร์ (Hacker), แครกเกอร์ (Cracker) และผู้ไม่หวังดีต่อคอมพิวเตอร์ (Computer Vandal)
แรกเริ่มเดิมที คำว่า"แฮคเกอร์"นั้นหมายถึง บุคคลที่ความเข้าใจในการทำงานของโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างลึกซึ้ง จนถึงขั้นสามารถเขียนโปรแกรมได้อย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด โดยที่ไม่ต้องคิดวางแผนไว้ก่อนเลยว่าจะเขียนโปรแกรมไปในแนวทางไหน ความเข้าใจและทักษะทางคอมพิวเตอร์ของคนประเภทนี้ดูเหมือนเป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เกิด คนพวกนี้ยังมีลักษณะที่เหมือนกันอีกประการหนึ่งคือ มีความกระหายในการใช้คอมพิวเตอร์และข้อมูลมากเสียจนมีความต้องการให้คอมพิวเตอร์และข้อมูลทั่ว ๆไปเปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าไปใช้ได้อย่างอิสระและไม่คิดมูลค่า ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
นั่นทำให้คำว่า "การแฮค" มีความหมายถึง การเข้าไปสำรวจตรวจตราระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ ก็ตามอย่างอิสระเสรี เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นทางวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ จริงๆ แล้ว การแฮคมีความหมายสองความหมายแฝงอยู่ คือการท่องไปในระบบเพื่อค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้และสิ่งที่ต้องห้าม และการเขียนโปรแกรมอย่างมีชั้นเชิง เราอาจสืบสาวหาต้นกำเนิดของคนพันธุ์ที่กระหายใคร่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์อย่างแรงกล้าและต้องการทำทุกอย่างที่ไม่ผิดกฏหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้นี้ ไปที่บรรดามหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมหัวกะทิทางวิชาการ โดยเฉพาะเอ็มไอที และสแตนฟอร์ด ในยุคทศวรรษที่ 60
แต่ปัจจุบัน คำว่า "การแฮค" กลับถูกนำไปใช้เรียกการบุกรุกเข้าไปยังระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือใช้หมายถึงอาชญากรรมใดๆ ที่คนร้ายกระทำต่อคอมพิวเตอร์หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ยุคแรกเกิดขึ้นในในตอนต้นทศวรรษที่ 70 เมื่อพนักงานขายรู้จักใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างหลักฐานการขายปลอมขึ้นมาเพื่อตบตาเจ้านายของตน ความเสียหายที่เกิดจากแฮคเกอร์ของยุคนั้นคิดเป็นมูลค่าหลายล้านเหรียญ การที่หนังสือเล่มนี้ถือว่าการฉ้อโกงเหล่านั้นเป็นการกระทำของแฮคเกอร์ด้วย ก็เพราะเราดูการกระทำเป็นหลัก การเข้าไปใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องทั้งสิ้น โดยไม่ต้องสนใจว่าผู้กระทำมีเจตนาดีร้ายอย่างไร
สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ความหมายของคำว่า "แฮคเกอร์" บิดเบือนไปจากความหมายดั้งเดิม ก็เพราะผู้บุกรุกระบบคอมพิวเตอร์โดยประสงค์ร้ายเหล่านั้นนั่นเองที่มักเรียกตัวเองว่า"แฮคเกอร์" เพราะย่อมไม่มีใครยอมรับอยู่แล้วว่าตนเป็น "นักบุกรุกระบบคอมพิวเตอร์" หรือ "แครกเกอร์" (นักงัดแงะ) หรือ "ผู้ไม่หวังดีต่อคอมพิวเตอร์" ส่วนคำที่ใช้เรียกเพื่อแยกแยะแฮคเกอร์ดีออกจากแฮคเกอร์ไม่ดีเหล่านี้ ถูกนำมาใช้โดยแฮคเกอร์ที่ถือว่าพวกตนเป็นแฮคเกอร์ขนานแท้และดั้งเดิม ผู้ซึ่งไม่ยอมให้คำว่าแฮคเกอร์ถูกทำให้แปดเปื้อนโดยบรรดาผู้บุกรุกระบบที่ไม่มีคุณธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่เองที่พวกเขาเหล่านั้นจะค้านอย่างหัวชนฝาในการใช้คำว่าแฮคเกอร์กับพวกประกอบอาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างเหมารวมเช่นนี้ เพราะนั่นได้ทำให้ศักดิ์ศรีของแฮคเกอร์ขนานแท้และดั้งเดิมอย่างพวกเขาถูกบั่นทอนลงไป แต่ดูเหมือนว่าคงจะยากที่จะเปลี่ยนความเคยชินของคนส่วนใหญ่เสียแล้ว แม้จะมีบางส่วนที่ใช้คำอื่นแทนคำว่าแฮคเกอร์อยู่บ้าง เช่นคำว่า "ไซเบอร์พังก์" เป็นต้น
พวกแฮคเกอร์ยุคใหม่สืบเชื้อสายมาจากคนอีกพวกหนึ่งซึ่งหลงใหลในการเล่นกับระบบโทรศัพท์ ซึ่งมีชื่อเฉพาะว่าพวก"เล่นโทรศัพท์" (Phone Phreaks) คนพวกนี้ดำรงตนอยู่ในเจตนารมณ์ของพวกฮิปปี้ที่ไม่ต้องการมีชีวิตที่ขึ้นกับใคร (การใช้ชีวิตแบบยิปปี้ส์ - Yippies) พวกเขาเล่นกลกับระบบโทรศัพท์จนสามารถโทรฟรีไปไหนก็ได้เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งการต่อต้านการขึ้นภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในสมัยสงครามเวียดนาม เมื่อเวลาผ่านไป ระบบโทรศัพท์มีการพัฒนามาใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานมากยิ่งขึ้น พวกเล่นโทรศัพท์จึงมีโอกาสได้ยักย้ายถ่ายเทความสามารถมายังระบบคอมพิวเตอร์ด้วย
ในทางปฏิบัติ ทุกวันนี้ คำว่า "phreaking" และ "hacking" แทบไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย เช่นเดียวกับระบบโทรศัพท์กับระบบคอมพิวเตอร์ที่นับวันจะมีความเกี่ยวดองกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบบโทรศัพท์ก็อาศัยคอมพิวเตอร์ในการทำงาน ส่วนระบบคอมพิวเตอร์ก็ติดต่อสื่อสารกันผ่านทางระบบโทรศัพท์
แฮคเกอร์ยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นหรือนักเรียนนักศึกษาที่มีพื้นฐานทางบ้านอยู่ในระดับชนชั้นกลาง ไม่ได้ขัดสนยากจนเท่าใดนัก และมีความคิดต่อต้านวัตถุนิยมอย่างเห็นได้ชัด (แต่ไม่ต่อต้านการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ) แฮคเกอร์คนใดก็ตามที่มีแรงจูงใจในการแฮคจากเงินทองหรือวัตถุต่างๆ (ซึ่งตรงกันข้ามกับแรงจูงใจที่ไม่เป็นวัตถุนิยม เช่น ความต้องการอำนาจ ความรู้ และสถานภาพทางสังคม) จะถูกดีดออกไปจากกลุ่มอย่างรวดเร็ว
แฮคเกอร์เหล่านี้มองภาพตัวเองว่า พวกเขาเป็นเหมือนคาวบอยในยุคตะวันตกเฟื่องฟูที่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้ เป็นผู้บุกเบิกชั้นหัวกะทิแห่งโลกอิเลคทรอนิค โลกซึ่งผู้ที่แฮคเก่งที่สุดสมควรได้รับการยกย่องมากที่สุด เช่นเดียวกับที่มือปืนที่ชักปืนได้รวดเร็วที่สุดได้เป็นวีรบุรุษแห่งตะวันตก การตีกรอบคนพวกนี้ให้ยอมรับกฏเกณฑ์ของสังคมและของทางการดูจะเป็นการบีบคั้นจิตใจพวกเขาอย่างที่สุด
แฮคเกอร์ไม่เคยคิดว่าการแฮคของพวกเขาเป็นการกระทำของ"โจร" เพราะพวกเขาคิดว่า การใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบโทรศัพท์ของผู้อื่นโดยที่ไม่ได้ไปทำอันตรายใครนั้น มันเป็นแค่การเล่นสนุกเท่านั้น คิดดูสิ ระบบโทรศัพท์ก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีใครใช้หรือไม่มีใครใช้มันก็ตาม ไม่เห็นมีใครเสียหายอะไรสักหน่อย จริงมั้ย ตราบใดที่คุณไม่ได้ไปทำให้ระบบใช้การไม่ได้ ไม่ได้ใช้ทรัพยากรของระบบมากจนเกินไป และไม่มีใครจับคุณได้ เพราะไม่เห็นมีอะไรสึกหรอไปแม้แต่อย่างเดียว และคุณก็ไม่ได้ "ขโมย" อะไรไปเลยด้วย