delacroix
28-07-2009, 11:38 AM
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ มติชนรายวัน วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 10154
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ชาวโลกเคารพบูชามากกว่าสองพันปีแล้วนั้น ทรงค้นพบความจริงของโลก พระองค์มิได้สร้างความจริงของโลก
ขึ้นมาเพราะว่าความจริงที่พระองค์ค้นพบนั้น มีมานานนักหนาแล้วเปรียบเสมือนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาซึ่งเป็น
ทวีปที่มีอยู่ในโลกแสนนานมาแล้วเช่นกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงค้นพบเศรษฐกิจพอเพียง ก็เฉกเช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มีอยู่คู่กับโลกตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว มนุษย์เราเองก็ปฏิบัติตาม
หลักของเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอด กล่าวคือ "บริโภคเท่าที่มีอยู่"
เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันจำนวนมากขึ้นจนกระทั่งมีภาษาเขียนเกิดขึ้น ลักษณะการก่อหนี้ก็มีขึ้นในสังคมมนุษย์
แม้ในสมัยพุทธกาลคือเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ในชมพูทวีป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนเรื่อง
"ความสุขของคนธรรมดา คือคนที่ไม่ใช่นักบวช" (ไม่ใช่นักธุรกิจอุตสาหกรรมด้วย เพราะนักธุรกิจอุตสาหกรรมไม่ใช่คนธรรมดา)
จัดเป็นคนแปลกๆ อีกประเภทหนึ่ง ถ้าจะเอาง่ายๆ คนธรรมดาปัจจุบันนี้คือมนุษย์เงินเดือน และพวกคนที่เราเรียกว่า ระดับรากหญ้านั่นแหละ
ไว้ดังนี้ว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไป จะมีความสุข
ในโลกนี้ได้ก็ต้องประพฤติปฏิบัติดังนี้
1.สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ความสุขนี้เกิดจากความรู้สึกมั่นคง หมดห่วงเพราะมีทรัพย์เป็นหลักประกัน แบบที่ฝรั่งว่า security need
2.สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์บริโภค มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีทรัพย์ แต่ไม่ยอมใช้จ่าย เพื่อการกินการอยู่ของตน และครอบครัว
เป็นแบบเบียดเบียนตัวเองและครอบครัว บำเพ็ญตนเป็นโสมเฝ้าทรัพย์ซึ่งนอกจากตัวเองจะไม่มีความสุขแล้ว ยังพาเอาครอบครัว
ไม่มีความสุขไปด้วย ดังนั้นเมื่อมีทรัพย์แล้ว ก็ควรต้องมีความสุขจากการจ่ายทรัพย์ในปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม
และยารักษาโรคให้พอเหมาะพอควรด้วย
3.สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้ ข้อนี้เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่พวกเราชาวพุทธมักจะลืมหรือแกล้งลืม
แล้วชอบมาบ่นให้ฟังจนรำคาญว่าลำบากในการเป็นหนี้ ไม่มีเงินส่งงวดดอกเบี้ย ฯลฯ ใครไม่เคยมีความทุกข์
ก็จงทดลองเป็นหนี้ดูเอาเถิด!
4.สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ข้อนี้สำคัญที่สุด โปรดสังเกตดูเถอะคำสอนของพระพุทธองค์นั้นข้อหลังๆ
จะทวีความสำคัญขึ้นตามลำดับในทุกหมวด
ยกตัวอย่างศีลห้านั้น ข้อที่ห้าคือการห้ามเสพสุรายาเมา อันนี้สำคัญที่สุด หากลงดื่มเหล้าหรือเสพยาบ้าแล้ว
ศีลอีกสี่ข้อตอนต้นนั้นละเมิดได้สบายมาก
แน่นอนทีเดียวที่คนธรรมดาสามัญทั้งหลายย่อมมีทุกข์เพราะมิได้ปฏิบัติตามหลัก 4 ประการที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้
ยิ่งในสมัยปฏิวัติทางอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ที่ฝรั่งเริ่มต้นทางตะวันตกเมื่อร่วมสี่ร้อยปีมาแล้ว
ได้ปฏิวัติการผลิตสินค้า ด้วยการใช้เครื่องจักรผลิตสินค้าออกมาทีละมหาศาล อย่างที่เราเรียกกันว่า Mass Production
ดังนั้นจึงเกิดสถานการณ์ที่แปลกใหม่ขึ้นมาในโลกคือกำลังการผลิตนั้นสูงกว่าความต้องการในการบริโภค
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอุปโภคหรือบริโภคก็ตาม
ถ้าจะพูดตามภาษาของเศรษฐศาสตร์ก็คือ มีอุปทาน (Supply) มากกว่าอุปสงค์ (Demand) นั่นเอง
จึงต้องมีการการตลาด (Marketing) เพื่อสร้างความต้องการขึ้น (Created Demand) ด้วยการโกหกหลอกลวงสารพัด
ใครเรียนการตลาดโดยไม่โกหกนั้นอยู่ไม่ได้หรอก เมื่อคนไม่ต้องการก็ต้องสร้างความต้องการขึ้นมาให้ได้
ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์ด้วยกลอะไรก็ต้องทำ แม้แต่สร้างในรายการสื่อนานาชนิด เพื่อที่จะสร้างความต้องการเทียมๆ
ขึ้นมาทั้งนั้น จึงเกิดระบบเงินผ่อน ระบบบัตรเครดิตยังไงล่ะ เพื่อที่ผู้ผลิตจะได้ระบายสินค้าที่ออกไปได้
ไม่ยังงั้นก็ถูกสินค้าทับตัวเองตายไปเท่านั้นเอง
เอาอย่างในปัจจุบัน เช่น รถยนต์ หรือโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนทั้งหลาย
ก็อยู่ในระบบเงินผ่อนทั้งสิ้น
นาฬิกาที่ใช้ไว้ดูเวลาก็ทำเป็นเครื่องประดับเสียด้วย ด้วยการติดเพชรเสียพราวจนเวลาดูเวลาจริงๆ ไม่เห็นเนื่องจากแสบตา
จากแสงสะท้อนของเพชรก็มี แต่เพื่อความภาคภูมิใจลมๆ แล้งๆ แต่ถ้ามีเงินเหลือเฟือก็เอาเถอะ ก็เข้าข้อสองคือ
เป็นความสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์บริโภค
แต่ถ้าต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาซื้อมาผ่อน เพื่อเอามาใช้เอามาอวด ก็ผิดหลักข้อสามคือสุขเกิดจากการไม่ต้องเป็นหนี้
(หนักกว่าอีกเพราะข้อหลังๆ ต้องสำคัญกว่าข้อก่อนๆ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค้นพบเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นความจริงคู่กับโลกมานานแล้วในการที่พระองค์
ทรงสอนคนไทยทั้งผองก็คือแก่นแท้ของเศรษฐกิจพอเพียงที่ให้ "บริโภคตามฐานะ" อย่าตกหลุมพราง ของความต้องการ
ที่ถูกสร้างโดยนักการตลาด (Created Demand)
อย่าเป็นหนี้ จงพัฒนาตนเองตามกระแสโลกาภิวัตน์ แต่อย่างมงาย
ก้าวตามโลกอย่างมั่นคง ไม่ใช่กระโดดเข้าใส่แบบไม่มีสติ (อย่าลืมว่าพระองค์ท่าน โปรดปรานเทคโนโลยีเป็นที่สุด
พระองค์ท่านไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีสมัยใหม่เลย แต่พระองค์ท่านติดตาม และศึกษาอย่างมีสติรู้เท่าทันเสมอมา)
เก็บธนบัตรใบละห้าร้อยบาท (สีม่วง) เอาไว้เป็นเงินก้นถุงคนละใบเถอะ (ถ้ามีความสามารถพอ) แล้วหยิบขึ้นมาอ่านเป็นครั้งคราว
ตรงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาเจษฎาราชเจ้า ที่สอนเจ้าหมื่นไวยวรนาถ
เกี่ยวกับเทคโนโลยีของทางตะวันตกที่ว่า
"การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ชาวโลกเคารพบูชามากกว่าสองพันปีแล้วนั้น ทรงค้นพบความจริงของโลก พระองค์มิได้สร้างความจริงของโลก
ขึ้นมาเพราะว่าความจริงที่พระองค์ค้นพบนั้น มีมานานนักหนาแล้วเปรียบเสมือนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาซึ่งเป็น
ทวีปที่มีอยู่ในโลกแสนนานมาแล้วเช่นกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงค้นพบเศรษฐกิจพอเพียง ก็เฉกเช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มีอยู่คู่กับโลกตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว มนุษย์เราเองก็ปฏิบัติตาม
หลักของเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอด กล่าวคือ "บริโภคเท่าที่มีอยู่"
เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันจำนวนมากขึ้นจนกระทั่งมีภาษาเขียนเกิดขึ้น ลักษณะการก่อหนี้ก็มีขึ้นในสังคมมนุษย์
แม้ในสมัยพุทธกาลคือเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ในชมพูทวีป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนเรื่อง
"ความสุขของคนธรรมดา คือคนที่ไม่ใช่นักบวช" (ไม่ใช่นักธุรกิจอุตสาหกรรมด้วย เพราะนักธุรกิจอุตสาหกรรมไม่ใช่คนธรรมดา)
จัดเป็นคนแปลกๆ อีกประเภทหนึ่ง ถ้าจะเอาง่ายๆ คนธรรมดาปัจจุบันนี้คือมนุษย์เงินเดือน และพวกคนที่เราเรียกว่า ระดับรากหญ้านั่นแหละ
ไว้ดังนี้ว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไป จะมีความสุข
ในโลกนี้ได้ก็ต้องประพฤติปฏิบัติดังนี้
1.สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์ ความสุขนี้เกิดจากความรู้สึกมั่นคง หมดห่วงเพราะมีทรัพย์เป็นหลักประกัน แบบที่ฝรั่งว่า security need
2.สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์บริโภค มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีทรัพย์ แต่ไม่ยอมใช้จ่าย เพื่อการกินการอยู่ของตน และครอบครัว
เป็นแบบเบียดเบียนตัวเองและครอบครัว บำเพ็ญตนเป็นโสมเฝ้าทรัพย์ซึ่งนอกจากตัวเองจะไม่มีความสุขแล้ว ยังพาเอาครอบครัว
ไม่มีความสุขไปด้วย ดังนั้นเมื่อมีทรัพย์แล้ว ก็ควรต้องมีความสุขจากการจ่ายทรัพย์ในปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม
และยารักษาโรคให้พอเหมาะพอควรด้วย
3.สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้ ข้อนี้เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่พวกเราชาวพุทธมักจะลืมหรือแกล้งลืม
แล้วชอบมาบ่นให้ฟังจนรำคาญว่าลำบากในการเป็นหนี้ ไม่มีเงินส่งงวดดอกเบี้ย ฯลฯ ใครไม่เคยมีความทุกข์
ก็จงทดลองเป็นหนี้ดูเอาเถิด!
4.สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ข้อนี้สำคัญที่สุด โปรดสังเกตดูเถอะคำสอนของพระพุทธองค์นั้นข้อหลังๆ
จะทวีความสำคัญขึ้นตามลำดับในทุกหมวด
ยกตัวอย่างศีลห้านั้น ข้อที่ห้าคือการห้ามเสพสุรายาเมา อันนี้สำคัญที่สุด หากลงดื่มเหล้าหรือเสพยาบ้าแล้ว
ศีลอีกสี่ข้อตอนต้นนั้นละเมิดได้สบายมาก
แน่นอนทีเดียวที่คนธรรมดาสามัญทั้งหลายย่อมมีทุกข์เพราะมิได้ปฏิบัติตามหลัก 4 ประการที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้
ยิ่งในสมัยปฏิวัติทางอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ที่ฝรั่งเริ่มต้นทางตะวันตกเมื่อร่วมสี่ร้อยปีมาแล้ว
ได้ปฏิวัติการผลิตสินค้า ด้วยการใช้เครื่องจักรผลิตสินค้าออกมาทีละมหาศาล อย่างที่เราเรียกกันว่า Mass Production
ดังนั้นจึงเกิดสถานการณ์ที่แปลกใหม่ขึ้นมาในโลกคือกำลังการผลิตนั้นสูงกว่าความต้องการในการบริโภค
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอุปโภคหรือบริโภคก็ตาม
ถ้าจะพูดตามภาษาของเศรษฐศาสตร์ก็คือ มีอุปทาน (Supply) มากกว่าอุปสงค์ (Demand) นั่นเอง
จึงต้องมีการการตลาด (Marketing) เพื่อสร้างความต้องการขึ้น (Created Demand) ด้วยการโกหกหลอกลวงสารพัด
ใครเรียนการตลาดโดยไม่โกหกนั้นอยู่ไม่ได้หรอก เมื่อคนไม่ต้องการก็ต้องสร้างความต้องการขึ้นมาให้ได้
ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์ด้วยกลอะไรก็ต้องทำ แม้แต่สร้างในรายการสื่อนานาชนิด เพื่อที่จะสร้างความต้องการเทียมๆ
ขึ้นมาทั้งนั้น จึงเกิดระบบเงินผ่อน ระบบบัตรเครดิตยังไงล่ะ เพื่อที่ผู้ผลิตจะได้ระบายสินค้าที่ออกไปได้
ไม่ยังงั้นก็ถูกสินค้าทับตัวเองตายไปเท่านั้นเอง
เอาอย่างในปัจจุบัน เช่น รถยนต์ หรือโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนทั้งหลาย
ก็อยู่ในระบบเงินผ่อนทั้งสิ้น
นาฬิกาที่ใช้ไว้ดูเวลาก็ทำเป็นเครื่องประดับเสียด้วย ด้วยการติดเพชรเสียพราวจนเวลาดูเวลาจริงๆ ไม่เห็นเนื่องจากแสบตา
จากแสงสะท้อนของเพชรก็มี แต่เพื่อความภาคภูมิใจลมๆ แล้งๆ แต่ถ้ามีเงินเหลือเฟือก็เอาเถอะ ก็เข้าข้อสองคือ
เป็นความสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์บริโภค
แต่ถ้าต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาซื้อมาผ่อน เพื่อเอามาใช้เอามาอวด ก็ผิดหลักข้อสามคือสุขเกิดจากการไม่ต้องเป็นหนี้
(หนักกว่าอีกเพราะข้อหลังๆ ต้องสำคัญกว่าข้อก่อนๆ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค้นพบเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นความจริงคู่กับโลกมานานแล้วในการที่พระองค์
ทรงสอนคนไทยทั้งผองก็คือแก่นแท้ของเศรษฐกิจพอเพียงที่ให้ "บริโภคตามฐานะ" อย่าตกหลุมพราง ของความต้องการ
ที่ถูกสร้างโดยนักการตลาด (Created Demand)
อย่าเป็นหนี้ จงพัฒนาตนเองตามกระแสโลกาภิวัตน์ แต่อย่างมงาย
ก้าวตามโลกอย่างมั่นคง ไม่ใช่กระโดดเข้าใส่แบบไม่มีสติ (อย่าลืมว่าพระองค์ท่าน โปรดปรานเทคโนโลยีเป็นที่สุด
พระองค์ท่านไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีสมัยใหม่เลย แต่พระองค์ท่านติดตาม และศึกษาอย่างมีสติรู้เท่าทันเสมอมา)
เก็บธนบัตรใบละห้าร้อยบาท (สีม่วง) เอาไว้เป็นเงินก้นถุงคนละใบเถอะ (ถ้ามีความสามารถพอ) แล้วหยิบขึ้นมาอ่านเป็นครั้งคราว
ตรงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาเจษฎาราชเจ้า ที่สอนเจ้าหมื่นไวยวรนาถ
เกี่ยวกับเทคโนโลยีของทางตะวันตกที่ว่า
"การงานสิ่งใดของเขาที่ดี ควรเรียนร่ำเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว"