View Full Version : เรียนโท-เอก ไปทำไมกัน ?
asylu3
06-06-2009, 08:28 PM
อยากทราบว่าเพื่อนๆมีคำตอบกับคำถามนี้ว่าอย่างไร
เรียนสาขานี้ไปเพื่อเป้าหมายอะไร จบไปคาดว่าจะได้ใช้มากน้อยเพียงใด?
คำตอบด้านล่างนี้ตอบตรงใจบ้างไหม
- เรียนเพื่อปรับวุฒิการศึกษาให้สูงขึ้น เอาไว้ต่อรองเงินเดือน หรือชุบตัวในสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อให้ได้ทำงานดีๆเิงินเดือนสูงๆ?
- ช่วงนี้ว่างงาน หางานยังไม่ได้ หรือยังไม่เจองานที่ชอบ แทนที่จะอยู่ว่างๆก็เลยมาเรียน เพื่อให้ได้ใช้เวลาว่างให้เป้นประโยชน์ ปรับวุฒิดีกว่า?
- เรียนเพื่อทำฝันให้เป็นจริงเพราะอยากมีธุระกิจเป็นของตัวเอง และประกอบเป็นธุระกิจขึ้นมาซักอย่าง?
- เรียนเพราะลองออกไปทำงานแล้วตามเขาไม่ค่อยทัน เลยออกมาหาประสบการณ์ ต้องการเปิดโลกทัศน์ ค้นหาตัวเองคิดว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ ?
- ลองเรียนดูเผื่อจะชอบแล้วก็รุ่งในงานสาขานี้?
- เพราะใครๆเดียวนี้ก็จบโท ป.ตรีเชยไปแล้ว เพื่อให้สังคมยอมรับเป็นหน้าเป็นตาดังนั้นจึงควรปรับวุฒิ?
- อยากต่อเอกด้วยเพราะ ถ้าได้เป็น ดร. แล้วมีความน่าเชื่อถือเยอะกว่าคนทั่วไป พูดอะไรออกไปคนจะได้ฟัง ไม่เหมือนเรียนจบแค่ตรี?
- เรียนเพราะจะได้ไม่ขี้เกียจมาเรียนทีหลัง ช่วงนี้พึ่งจบไฟแรงอยู่ก็เรียนๆให้จบไปแล้วทำงานซะจะได้ไม่ลำบากทีหลัง?
- เรียนเพราะอยากเป็นอาจารย์ ได้ทำงานที่ชอบ มั่นคงเิงินเดือนดีๆ
ชีวิตนี้ต้องการอะไร ทรัพย์สิน ลาภยศ ความสบาย
ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร
powerboy
06-06-2009, 09:13 PM
อันดับแรกต้องเข้าใจในเจตจำนงของระดับปริญญาให้ดีเสียก่อนว่า
ในแต่ละระดับขั้นมีเจตนาบ่งบอกลักษณะผู้ที่เรียนจบว่ามีระดับความสามารถแค่ไหน (ผมไม่ได้รวมถึงปริญญาที่เข้าข่าย จ่ายครบจบแน่)
ปริญญาตรี = ผู้ที่สามารถ ปฏิบัติตามผู้นำในการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาในระดับเบื้องต้น
ปริญญาโท = ผู้ที่สามารถ รวบรวมและวิเคราะห์ปัญหาที่มีอยู่ และสามารถประยุกต์แนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบและเป็นอย่างดี
ปริญญาเอก = ผู้ที่สามารถ รวบรวมและวิเคราะห์ปัญหาที่มีอยู่ และสามารถบ่งบอกถึงข้อดีข้อเสียของวิธีการที่จะนำมาประยุกต์แก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี
และยังรวมไปถึงสามารถคิดค้น ระบบ วิธีการ และทฤษฏีใหม่ เพื่อนำมาแก้ปัญหาที่กำลังวิเคราะห์หรือสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นเพื่อเป็น
ประโยชน์ต่อบุคคลอื่นในอนาคตต่อไป
ส่วนเรื่องผลประโยชน์แฝงอื่นที่จะนำมาร่วมคิดประกอบในการที่จะเลือกเรียนต่อนั้นขึ้นอยู่กับความสำคัญของบุคคลนั้น ๆ เป็นราย ๆ ไป
mad2amd
07-06-2009, 01:47 AM
จากที่ผม ถามเพื่อนๆผม ว่าเรียน ต่อ โท ทำไม ? แล้วได้คำตอบประมาณนี้
- เรียนเพื่อปรับวุฒิการศึกษาให้สูงขึ้น เอาไว้ต่อรองเงินเดือน หรือชุบตัวในสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อให้ได้ทำงานดีๆเิงินเดือนสูงๆ?
[/b]
ซึ่ง ผมเองคิดว่า มันก็อาจจะใช่นะครับ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะถ้าบริษัท เขารับพนักงานเขาก็จะจ่ายเงินเดือนตามฐานเงินเดือนของบริษัทเขาครับ
และถึงคุณจะได้เกียตินิยมก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องได้เงินเดือนมากกว่าฐานเงินเดือนของเขาหนิครับ
ผมเคย ได้ยินคำตอบนึง ที่ วิยากรเขาเล่าให้ผมฟังว่า " บริษัทของผมมีมาตรฐานครับ จ่ายเงินเดือนตามฐานเงินเดือนครับ " ผมรู้สึกเลยครับว่าผมคาดไม่ถึงครับ
- ช่วงนี้ว่างงาน หางานยังไม่ได้ หรือยังไม่เจองานที่ชอบ แทนที่จะอยู่ว่างๆก็เลยมาเรียน เพื่อให้ได้ใช้เวลาว่างให้เป้นประโยชน์ ปรับวุฒิดีกว่า?
[/b]
นี่ก็เป็นคำตอบที่น่าสนใจนะครับ แต่ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น ผมเพิ่งไปสมัครงานกับ ที่ที่นึงครับ ผมยืนข้างหลังเขา ระหว่างรอพี่คนข้างหน้า ตรวจเอกสารการสมัครอยู่ครับ( ที่นี่เขารับวุฒิ ป.ตรี ครับ เกรดเฉลี่ยรวม ถ้ารัฐ 2.5 และเอกชน 3.0 ขึ้นไป ) เขาตรวจเจอว่า พี่เขาเรียน ป.โท มา เกรดเกรดเฉลี่ยรวม ดีสูงกว่าเกณฑ์ครับ แต่เขาก็ยังยึดเอา เกรดเฉลี่ย ป.ตรี ในการสมัครอยู่ดีครับ ว่าคุณได้เท่าไหร่มา บังเอิญพี่เขาไม่ถึงครับ เลยพลาดโอกาส สมัครไปครับ
จากกรณีข้างต้น ผมคิดว่า การปรับวุฒิดีครับ แต่คุณต้องใช้วุฒิให้เหมาะกับงานที่เขารับด้วยครับ มิฉะนั้นคุณก็จะพลาดโอกาสด้วยครับ (ถ้าจะจบมาเป็นลูกจ้างอย่างผม)
Nirvana
06-09-2009, 02:01 PM
ส่วนตัวผม ผมกำลังศึกษาอยู่ ปี2 ระดับป.ตรี อยู่
ในความคิดของผมแล้ว ต้องบอกไว้เลยว่า ทางบ้านเขา ส่งเสียให้ได้แค่ ป.ตรี
ถ้าคิดจะต่อ ป.โท แล้วต้องทำงานก่อนแล้วค่อยมากลับมาเรียนใหม่
สิ่งที่อยากเรียน ป.โท หรือ ป.เอก นั้นก็อยากศึกษาเพื่อต้องการให้เชี่ยวชาญสิ่งที่ ต่อยอดจากสาขาที่ผมเรียน
ที่รุ้ลึกอยู่จริงอย่างแท้จิง ผมคิดว่าถ้าเรารู้พื้นฐานอะไรจริงๆจังๆแล้ว สิ่งที่เรียนเจาะลึกมาพวกนี้น่าจะเป็นสิ่งจำเป็นในการ
พัฒนา หรือ คิดผลงานต่างๆขึ้นมาคับ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะคับ กับคำตอบที่ว่า
- เรียนเพื่อปรับวุฒิการศึกษาให้สูงขึ้น เอาไว้ต่อรองเงินเดือน หรือชุบตัวในสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อให้ได้ทำงานดีๆเิงินเดือนสูงๆ?
เพราะว่าสมัยนี้ เงินเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ของคนเราไปซะแล้ว
doranobi
15-11-2009, 05:13 PM
สำหรับผมนะ ผมว่าการที่เรามาเรียนปริญญเอกเนี่ยนะครับ ผมว่าบางคนอาจจะรักในสาขานั้นจริงๆ ต้องการที่จะรู้ลึกๆๆๆลงไปครับ เพราะบางครั้งถ้าเราถลำลึกลงไปในบางสิ่งที่เราชอบเข้าจริงๆแล้ว การที่จะขลุกกับมันทั้งวันนั้นเป็นไปได้ครับ เราก็อยากจะรู้มันให้มากขึ้นครับ กระหายที่อยากจะรู้เข้าไปอีก อารมณ์พอๆกะเด็กติดเกมส์น่ะครับ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น ก็นับว่าเป็นประโยชน์ทีเดียวครับ เพราะ ดร. ก็ฟังน่าเชื่อถือ เข้าทำงานก็ได้เงินเดือนสูงๆนี่ก็จริงครับ แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องต้นทุนละครับ ก็คงพูดได้แค่ว่า "...การศึกษาคือการลงทุน...."ครับ เพราะแม้จะแพง และต้องส่งเสียตัวเองแต่สุดท้ายเงินเดือนที่จะได้หลังจากนั้นก็คุ้มเลยล่ะครับ
Gabriel
15-11-2009, 10:51 PM
เราคิดว่านะ
ปริญญาตรีสำคัญมากไม่แพ้โทเอกเลย
หากเราเรียนแล้วได้เกรตสูงมากจะมีทางเลือกมากในไทย
แต่หากที่ต่างประเทศแล้ว เขาดูผลงานมากกว่าอื่นได้
เพราะเป็นที่รู้กันว่า ไอสไตล์ ยังเคยสอบตกเลข
แล้วอัจฉริยะจำเป็นเหรอที่จะต้องได้เกียรตินิยม(เพราะสิ่งที่เรียนมาเราอาจคิดถูกกว่าทฤษที่มีอยู่ก็ได้)
ผมพูดในฐานะเด็ก 4.00 นะครับ
Alias
15-11-2009, 11:32 PM
จบตรี ทำงานมา 4-5 ปี จนรู้สึกขี้เกียจต่อโทไปแล้ว =w='
แต่ผมยังมั่นใจว่า ถ้าเรา Expert ในด้านไหน ต่อให้มีแค่ ป.ตรี ก็สามารถหางานได้ (แต่ก็ต้องหมั่นหา Credit ด้วยนะ)
hina_lovex
16-11-2009, 06:58 PM
สำหรับกระทู้นี้ คำถามแบ่งเป็น 3 คำถาม
1. เรียนสาขานี้ไปเพื่อเป้าหมายอะไร จบไปคาดว่าจะได้ใช้มากน้อยเพียงใด ? ในที่นี้คาดเดาว่า สาขานี้หมายถึง สาขาที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์
2. ชีวิตนี้ต้องการอะไร ?
3. ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร ?
ผมคิดว่าแต่ละคนมีคำตอบสำหรับตนเองเอง ต่อให้คนไหนตอบอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อยก็ตอบตัวเองได้ว่าไม่รู้ หรือยังคิดไม่ออก
นั่นแหละคือคำตอบของท่าน
เพราะมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีความคิด พิจารณาเป็นต้นราก ดังนั้นมนุษย์เมื่อคิดได้ ก็จะค้น และหาคำตอบในสิ่งที่คิด
ซึ่งแต่ละคำถามนั้น เมื่อผ่านไปแต่ละวัย มีสิ่งแวดล้อม ความคิด และประสบการณ์ เปลี่ยนไปก็ตอบได้ไม่เหมือนกันอีกนั่นแหละ
คำถามที่ 1 ตัวผู้เขียนเองตอบได้ว่า ตอนที่เลือกเรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ นั้นเพราะว่าชอบ และสมัยที่ตัวผู้เขียนสอบนั้นยังเป็น Entrance ระบบเก่าอยู่เลย และต้องถือว่าสาขานี้เป็นสาขาที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะเด็กสมัยนั้นมุ่งเน้นแต่ วิศวกรรมศาสตร์
ประกอบกับสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่เป็นสาขาโดยตรง ในสมัยนั้นมีอยู่ไม่เกิน 5 มหาวิทยาลัย คำว่าชอบคำเดียวนั้น ทำให้เรียนได้ดี และกลายมาเป็นวิชาชีพในปัจจุบัน
คำถามที่ 2 ชีวิตนี้ต้องการอะไร อันนี้คงตอบได้หลายหลายตามวัยเลย ตอนเด็กก็ต้องการขนม ของเล่น, โตขึ้นมาหน่อยก็ต้องการสอบ Entrance ให้ได้, ทำงานแล้วก็ต้องการ นาฬิกา, คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่, กล้องดิจิตอล, .. ฯลฯ มันก็เป็นไปตามกิเลส อยากมี อยากเป็นไปตามประสาคนที่ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ในท้ายสุดอยากตายโดยไม่ต้องเกิดถ้าเรื่องของภพชาติมีจริง
คำถามที่ 3 ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร อันนี้ก็ตอบได้หลากหลาย ในขณะที่ตอบมันก็มีมากมาย วิ่งมาเต็มเลยความนึกคิด แต่ตอนนี้คิดว่าเกิดมาเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพื่อจะแก้ความไม่รู้
กระบวนการคิดแบบด้านบน เป็นกระบวนการคิดแบบวิเคราะห์ ขอตอบกระบวนการแบบสังเคราะห์ ตามประสบการณ์ซักหน่อย
จริงๆ คำถามที่ถามมาทั้งหมด ถ้าเคยอ่านงานเขียนท่านพุทธทาส มันเชื่อมโยงกันทุกมิติ ไม่ว่าจะเรียนเพื่อให้ได้เงินเดือนสูงขึ้น เรียนเพราะว่างงานอยู่ ฯลฯ
มันจะต้องหยุดถามตัวเองว่า สิ่งที่เลือกนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เหมาะสมกับ ธรรมชาติของตัวเราหรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่คำตอบที่แท้ เรียนไปก็มีแต่เสีย เสียเวลา เสียเงิน แต่ได้ความรู้จริงๆ นิดเดียว
จริงคำตอบของ 3 คำถามนั้น มันอยู่ที่คำว่า ไม่รู้ตัวเดียวจริงๆ
คนที่คอยงาน ก็คือไม่รู้ว่าอนาคต ตนเองจะทำอะไร ก็เลยหาเรื่องเรียนไปก่อน
คนที่เงินเดือนไม่ปรับซะที ก็คือไม่รู้ว่าจะได้ปรับตำแหน่ง หรือเงินเดือนเพิ่มเมื่อไหร่ ก็เลยหาเรื่องเรียนไปก่อน
คนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็เลยเลือกเรียน เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ ที่หลายคนเรียกว่าสร้าง Contract
เรียนเพราะลองทำงาน แล้วตามเขาไม่ค่อยทัน ก็เลยอยากจะเรียนเพื่อเปิดโลกทัศน์ อันนี้ก็คือเราไม่รู้ ลึกในสิ่งที่เรียนใน ป.ตรี แล้วคิดว่า ป.โท หรือ ป.เอกจะช่วยให้รู้ลึกขึ้น
ลองเรียนดู อันนี้คือไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่
เรียน เพราะ เดี๋ยวนี้ เขาจบ ป.โท ป.เอก กัน อันนี้เรียนตามๆ เขาไป ไม่รู้เลยว่าตัวเองถนัด หรือชอบไหม
เรียนเพราะ จะได้ไม่ขี้เกียจมาเรียน กรณีตอนแก่ กลัวสมองไม่ทันรุ่นหนุ่มๆ อันนี้ก็เรียนเพราะไม่รู้ในอนาคตว่าสมองจะแก่ตามวัยหรือเปล่า
เรียนเพราะอยากเป็นอาจารย์ อันนี้เรียนเพราะรู้ว่า จะต้องทำงานเป็นอาจารย์ หรือตั้งเป้าจะเป็นอาจารย์
ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา คือเรากลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ กลัวในความเปลี่ยนแปลง เป็นต้นรากของคำถาม วิธีแก้คือหาคำตอบที่เหมาะสมกับตัวเองให้ได้ว่า วิชาความรู้เรียนไปเพื่ออะไร
เมื่อเรียนแล้ว ควรรู้ต่อไปว่า วิชาที่เรียน เรียนไปแล้ว โดยเนื้อของวิชา โดยอาจารย์ผู้สอน สอนเพื่อ สร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือ ก่อโทษ และเบียดเบียนผู้อื่น
ดังที่ท่าน พุทธทาส พูดไว้ว่า เดี๋ยวนี้การศึกษา เป็นการศึกษาแบบหมาหางด้วน เรียนให้ฉลาดขึ้น เมื่อฉลาดขึ้นก็เพื่อจะกอบโกยให้ได้มาก เรียนเพื่อเอาเข้า ไม่ใช่สละออก
Powered by vBulletin® Version 4.2.5 Copyright © 2025 vBulletin Solutions Inc. All rights reserved.