PDA

View Full Version : "แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ทาง ‘พอดี’ ของชีวิต"



hina_lovex
12-06-2008, 09:36 AM
ตอนเด็กๆ สิ่งที่คุณยายต้องทำเป็นประจำคือการใส่บาตร คุณแม่ก็สอนแอนเรื่องการสวดมนต์ก่อนนอน เป็นหลักของคนพุทธง่ายๆ เรียกว่าผิวเผินมาก แอนไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องของธรรมะลึกซึ้งอะไร จนกระทั่งมีน้องนนนี่ ชีวิตแอนที่เคยทำงานมาตลอดตั้งแต่อายุ ๑๕ จนกระทั่ง ๒๕ พอท้องน้องนนนี่ได้ ๔ เดือน ก็หยุดทำงาน ทำให้ว่างไปโดยปริยายเลยอ่านหนังสือธรรมะที่มีเพื่อนรุ่นพี่เอามาให้ คือหนังสือที่ชื่อว่า ‘พอดี’ ของหลวงพ่อชา เป็นธรรมะง่ายๆ ที่แอนอ่านแล้วรู้สึกเข้าใจ พอโทรฯไปบอกเพื่อนก็ได้เล่มอื่นมาอ่านอีก

หลังจากคลอดน้องนนนี่ได้ ๒ เดือน เพื่อนรุ่นพี่อีกท่านที่ต้องบอกว่าเป็นผู้แนะนำทางสว่างในชีวิตให้แอนเลย คือคุณเจษฎ์สุภา โพธิพิมพานนท์ หรือ พี่ไก่ เบนซ์ทองหล่อ จัดคอร์สปฏิบัติธรรม ๗ คืน ๘ วัน ของคุณแม่สิริ กรินชัย เลยชวนแอนเข้าปฏิบัติด้วย เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ

พอเราเดินจงกรม ได้ทำอะไรช้าๆ ได้มาสังเกตตัวเอง ทำให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต หลังจากเข้าคอร์สออกมาต้องบอกว่าเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เหมือนเป็นคนละคน สิ่งที่ได้อย่างแรกคือความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ของเรา แอนไปกราบเท้าแม่ เป็นการกราบจากใจที่มันสุดๆ และตราตรึงอยู่ในใจเรา กราบและขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านมา เราก็ทำอะไรไม่ดีกับแม่กับยายมามาก ไม่ว่าจะเป็นการล่วงเกินในทางวาจา โมโหหงุดหงิดท่าน หลังจากได้ขออโหสิกรรมแล้ว ก็ตั้งใจใหม่ว่าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีและไม่ทำให้ท่านเสียใจ

จากนั้นแอนเริ่มอยากรู้อยากศึกษาให้รู้จักประวัติพระพุทธเจ้ามากกว่านี้ ไปขวนขวายอะไรที่เกี่ยวกับพุทธศาสนามาอ่าน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตของตัวเอง แอนจะใจเย็นลง พิจารณาอย่างละเอียด คิดก่อนพูด หาโอกาสเข้ากรรมฐานบ่อยขึ้น ปีนึงสองครั้ง ทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดี แอนรักการอ่านมากขึ้น ชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบสวดมนต์ ทุกเช้าและก่อนนอนจะสวดพระปริตร แล้วก็จะแผ่เมตตา

แอนมีโอกาสไปเข้าวิปัสสนากรรมฐานกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นอีก อย่างเช่น อาจารย์เรณู พระวิปัสสนาจารย์อย่างพระอาจารย์ประจักษ์ พระ-อาจารย์สว่าง พระอาจารย์วัลลภ เพื่อหาแนวทางถูกจริตกับเราและรู้สึกว่าได้พัฒนาตัวเองด้วย จนกระทั่งได้มาพบพระคันธะสาลาภิวงศ์ ซึ่งถือว่าเป็นครูบาอาจารย์อีกท่าน เวลาเข้ากรรมฐานท่านจะสอบอารมณ์ละเอียด สามารถที่จะแก้อารมณ์เราได้

แอนเคยเข้ากรรมฐานจนถึงขั้นอยากโกนหัวบวชชีไปเลย มีความรู้สึกว่าไม่อยากทำงาน รู้สึกว่าการอยู่ในโลกมันยากจังเลยกับการต้องทำงานในวงการบันเทิงไปด้วย เพราะงานเรามันตรงกันข้ามกับการหลุดพ้น ตื่นขึ้นมาเราถูกปรุงแต่งไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า ต้องแต่งหน้าทำผม เสื้อผ้าต้องอยู่ในเทรนด์สมัยใหม่ ต้องออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง เหมือนกับเช้ามาชีวิตเราเปิดรับกิเลสเต็มไปหมด ประตูปิดไม่ทัน ไม่รู้จะปิดประตูไหนบ้าง ตอนนั้นแอนเลยคิดอยากเปลี่ยนอาชีพ

แต่ถึงจุดนึงแอนพบว่าเราต้องพยายามเรียนรู้ที่จะนำพระธรรมคำสั่งสอนมาใช้กับชีวิตประจำวันกับงานของเราให้ได้ ในเมื่อเรารู้ว่ากำลังทำอะไร ก็มีสติอยู่กับสิ่งนั้นให้ดีที่สุด จริงใจในสิ่งที่เราทำ แอนจะเปลี่ยนวิธีใหม่ ทำงานเวลาแต่งหน้าเปิดเทปฟังธรรมะไปด้วย ถ้าช่างแต่งหน้าชอบธรรมะก็ฟังไปด้วยกัน ถ้าไม่ฟังเราก็เสียบหูฟัง หรือเวลาเขาแต่งหน้า เราก็หลับตาแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ ขณะแต่งหน้าเราก็สามารถที่จะรักษาจิตให้เกิดกุศลอยู่กับเราให้มากที่สุดและไม่ฟุ้งซ่าน

การเข้ากรรมฐานเหมือนกับมาทำความรู้จักตัวเราเอง ว่าตัวเรากิเลสมากขนาดนี้ ทั้งความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คนรอบข้างคนที่แวดล้อมเราทุกคนมีเหมือนกันหมด พอเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจคนอื่นทั้งโลก ดังนั้นทั้งโทสะทั้งกิเลสจะลดไปได้ค่อนข้างมาก นี่คือสิ่งที่ได้จากการไปเข้ากรรมฐานแล้วนำมาปรับใช้ในชีวิต

ถ้าถามว่าอยากนิพพานมั้ย ก็อยากนะคะ แต่คงไม่ได้ชาตินี้ เอาแค่ให้รู้สึกมีพลังในการทำงาน ไม่ใช่ยิ่งท้อห่อเหี่ยว เบื่อโน่นโทษนี่ โทษตัวเอง ก็จะทำให้เศร้าหมอง ความเศร้าโศก ความร่ำไห้เสียใจ ความเศร้าหมองพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่าเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าผิดพลาดไป ไม่เป็นไร ลืมมันเสีย กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เพราะอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ยิ่งไปคิดเรื่องความผิดพลาด อกุศลก็เกิดบ่อยๆ

เปลี่ยนเป็นมีความสนุกสนานรื่นเริงไปกับธรรมะดีกว่า จะเป็นประโยชน์กับตัวเราเองมากที่สุด แล้วเรายังสามารถเผยแผ่ ส่งความรู้สึกดีๆ ให้กับคนรอบข้าง ให้ลูก ให้คนใกล้ชิดเรา ทุกคนจะได้รู้สึกว่า การเข้าวัดไปศึกษาธรรม ไม่ใช่เรื่องเฉพาะคนแก่ รื่นเริงเฮฮาแบบนี้ก็สามารถมีธรรมะอยู่ในใจ นำมาปรับใช้กับชีวิตตัวเองได้

แอนจะสวดมนต์ตอนเช้า นั่งสมาธิสักนิด ก่อนออกจากบ้าน ถ้ามีเวลามากก็นั่งนานหน่อย อย่างน้อยตื่นเช้ามา กุศลเกิดขึ้นในใจเราก่อนแล้ว ทรัพย์ภายนอกเดี๋ยวก็ออกไปหาเงินตะลอนๆ แต่อริยทรัพย์ภายใน ใครหาให้เราไม่ได้นอกจากตัวเราเก็บเกี่ยวไว้เอง แล้วทรัพย์นี้จะตามเราไปทุกภพทุกชาติ หนุนนำให้เราได้มีโอกาสเจอคนดีมีศีลธรรม มีคนช่วยเหลือ เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน

ดังนั้นเราต้องเริ่มเป็นฝ่ายให้ก่อน ศาสนาพุทธสอนให้รู้จักให้ ให้ด้วยความอิ่มเอมหัวใจ ให้โดยที่ไม่ปรารถนาอยากได้สิ่งอื่นกลับมา เป็นการให้ที่มีความสุข เราต้องเรียนรู้การเป็นผู้ให้ที่แท้จริง

ตอบปัญหาชีวิต

ตอนไปปฏิบัติครั้งแรก แอนไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจอะไรทั้งสิ้น เรียกว่าชวนไปก็ไป ไปเพราะความอยากรู้ ตอนแต่งงานครั้งแรก คุณบิลลี่ โอแกน นับถือศาสนาคริสต์ ก็พยายามชวนแอนไปเข้าโบสถ์ เราก็ลังเล ตั้งแต่เล็กจนโตมาเราเคยนึกถึงแต่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความที่เป็นพุทธ เรายังไงก็ได้ เพราะศาสนาพุทธเปิดกว้างไม่บังคับ

หลังจากพยายามปรับตัวจนมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต ในวันที่ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว เราตกลงว่าเป็นเพื่อนกัน ขณะที่ยังสามารถเป็นพ่อแม่ของลูกได้ แต่เมื่อแยกทางกันขึ้นมาจริงๆ ความที่เคยเป็นแฟนกันมาเป็นสิบปี ทำให้มีความทุกข์เกิดขึ้น รู้สึกโหยหาในสิ่งที่เคยมีเคยเจอ ถึงขั้นจิตตก

แอนเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ว่าเมื่อมีครอบครัว ไม่มีวันที่ครอบครัวจะแตกแยกหรือเลิกรา เพราะเราเติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อแม่เลิกรากัน เหมือนเป็นปมในชีวิตเราอยู่ แล้วทำไมนะ ในเมื่อเราทำความดี เราเข้ากรรม-ฐานสม่ำเสมอ เราทำบุญ เราใส่บาตรทุกวัน เราไปปล่อยปลาปล่อยสัตว์ เราโหยหาแต่บุญกุศล แล้วทำไมสิ่งนี้จะต้องมาเกิดกับครอบครัวเรา เป็นความทุกข์ที่หนักที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์เลยนะคะ

แอนห่อเหี่ยว ย้ำคิดย้ำทำ ไม่อยากกินข้าว ไม่อยากลุกขึ้นมาสวดมนต์ ช่วงนั้นงานเยอะมาก ถ่ายละครอยู่ด้วย แล้วการเป็นนักแสดงเราต้องไปแบบพร้อมที่จะทำงาน แต่ข้างในแอนแย่มาก ซึมเศร้าอยู่เป็นเดือน พยายามกำหนด พยายามตั้งสติก็เอาไม่อยู่ ความคิดถึงมันรุนแรงมาก


พอคัตปุ๊บ กลับมาคิดอีกแล้ว คิดทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี แถมยังต้องคอยตอบคำถามกับนักข่าว คนมาเขียนว่าในอินเตอร์เน็ตอีก ไหนว่าปฏิบัติธรรมแล้วทำไมเลิกกับสามี ปัญหาเยอะมาก แล้วเราไม่สามารถที่จะแก้ได้เพราะรู้สึกหมดแรงเหลือเกิน ธรรมดาแอนเป็นคนไม่ค่อยมีปัญหาในชีวิต ไม่เคยลำบาก พอเรื่องนิดนึงเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

จนที่สุดวันนึงแอนมองดูตัวเองในกระจก เราผอมลงขนาดนี้เลยหรือ เราปล่อยให้พิษของกิเลสเล่นงานได้ขนาดนี้เลยหรือ ทำไมเราถึงได้แย่ขนาดนี้ แล้วแอนก็คิดขึ้นมาว่า มันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ มานั่งโง่คิดอยู่ทำไม ทำไมไม่อยู่กับปัจจุบัน ทำไมไม่อยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เสียแรงที่เป็นลูกพระพุทธเจ้า อุตส่าห์ได้ร่ำได้เรียนมาแล้ว จัดการกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้

จากวันนั้นแอนเริ่มปรับตัวเองได้ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่รู้สึกยากที่สุดในชีวิตแล้ว ทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่รู้สึกว่ามันยากอีกต่อไป พอเอาธรรมะมาทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถหลุดพ้นปัญหาไปได้

แอนว่าทุกคนบนโลกมีกิเลส ถ้ามีกิเลสอยู่ ปัญหาย่อมมีแน่นอน ไม่ต้องกลัว ปัญหามันมาเองเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเรามีความเข้าใจตรงนี้ เราก็จะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้

ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน พยายามระลึกถึงมันอยู่บ่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่าตัดตัว ‘อยาก’ ไปได้เยอะ ไม่ต้องอยากมาก ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แอนคิดว่าจุดสุดท้ายของชีวิต ถ้าเรามีจิตที่เป็นกุศล ไม่กลัวการที่เราจะต้องจากโลกนี้ไปได้ เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ฉะนั้นการที่เราเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ มีสติอยู่บ่อยๆ มันช่วยได้

อย่างน้อยคุณจะไม่เครียด แล้วสมดุลในร่างกาย สารแห่งความสุขหลั่งออกมา เราเห็นได้มากมายผู้ป่วยโรคมะเร็งโรคอะไรต่างๆ พอหันมาทำวิปัสสนากรรมฐานก็มีอาการดีขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์อะไรบางอย่างได้


EQ. กับ ธรรมะ

สิ่งที่แอนภูมิใจคือเราสามารถเป็นแบบอย่างให้ลูกได้ เดี๋ยวนี้ตามโรงเรียนก็ไม่ค่อยสอนเรื่องของศีลธรรม เรื่องของพระพุทธศาสนาแล้ว ดังนั้นถ้าที่บ้านไม่มีตัวอย่างที่ดีให้กับลูก พุทธศาสนาก็อาจจะสูญสิ้นได้ เด็กต้องเรียนรู้ว่า รากฐานของครอบครัว รากฐานของประเทศเรามาจากแบบนี้นะ ใส่ให้ลูกไปเขาก็จะค่อยๆ ซึมซับ

แอนส่งน้องนนนี่ไปเข้าคอร์สกรรมฐานของเด็กด้วย เป็นคอร์ส ๓ คืน ๔ วัน ครั้งแรกร้องห่มร้องไห้กว่าจะไปได้ (หัวเราะ) จริงๆ เขารับตั้งแต่ ๗ ขวบ แต่ตอนนั้นนนนี่ ๖ ขวบแอนส่งเข้าไปแล้ว พอโตขึ้นมาหน่อยก็เข้าคอร์ส ๔ คืน ๕ วัน อย่างปีนี้ล่าสุดนนนี่เข้า ๒ ครั้ง เพราะไปแล้วติดใจ อยากเข้าเองอีกครั้ง

ทำไมถึงได้ปลูกฝังธรรมะให้กับลูก เพราะเรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาควรจะมีธรรมะอยู่กับตัว การมีธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมือนมี EQ. มีความฉลาดทางอารมณ์เลยนะคะ ถ้าคุณไม่มีความฉลาดเท่าทันอารมณ์ คุณเสร็จกิเลสเอาไปรับประทาน คุณไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ เพราะมีสิ่งยั่วยวนสิ่งเร้ามาให้เราเห็นมากมาย ถ้าไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เราอาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้

ดังนั้นที่แอนส่งน้องนนนี่เข้ากรรมฐาน เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้ตัวเอง รู้จักตัวเอง และสามารถนำมาปรับใช้กับตัวเอง เขาจะรู้และเลือกตัดสินใจถูก คนเราโตขึ้นมาการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญมากนะคะ คุณตัดสินใจผิดพลาดไป อาจเกิดอะไรที่เลวร้ายได้ใหญ่หลวง แอนจะมีความสบายใจว่า อย่างน้อยชีวิตลูกก็มีแสงธรรมนำทาง เขาต้องเจอกับปัญหาแน่นอน แต่เมื่อเจอแล้ว เขาได้เรียนรู้ที่จะตั้งรับกับมัน และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตได้

คนเราชอบหลอกตัวเอง คุณจะหายก็ต่อเมื่อคุณสามารถยอมรับความจริง เหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นกับตัวคุณแล้ว คุณเข้าใจแล้วยอมรับมัน ถึงจะก้าวข้ามผ่านพ้นไปได้

กว่าแอนจะได้มาพบธรรมะ กว่าจะได้มีโอกาสเข้ากรรมฐานก็ตอนอายุ ๒๕ น้องนนนี่โชคดีแค่ไหน มีโอกาสสัมผัสตั้งแต่ ๖ ขวบ ถ้าเราพูดภาษาธรรมะ บุญผิดกันเลยนะ

แอนไม่ได้บังคับลูก แต่จะชวนเขาไป อย่างวันเกิดนนนี่ทุกปีก่อนหน้านี้เรามีการจัดเลี้ยง แอนบอกเขาว่าปีนี้แม่ไม่เลี้ยงให้นะ แต่แม่จะไปทำบุญกับท่าน ว.วชิรเมธี ที่เชียงราย ไปเลี้ยงเณรน้อยแล้วก็ไปดูห้องสมุดที่จะสร้างกันด้วย นนนี่จะไปไหม แอนจะถามลูกให้เขาตัดสินใจเอง วันเกิดปีนี้นนนี่จะได้เลี้ยงอาหารพระเณรทั้งวัด ๑๘o กว่ารูป เสร็จแล้วได้ฟังธรรม เราเป็นเจ้าภาพถวายชุดอุปกรณ์การเรียนให้พระและสามเณร จากนั้นไปปล่อยวัวกันคนละตัว ที่เหลือได้เที่ยวเล่นนิดหน่อย พอเขาบอกไปเราก็ดีใจ

กว่าจะกลับก็สามทุ่ม ลงเครื่องบินกลับถึงบ้าน เด็กอายุ ๑๑ ขวบ เขาก็สามารถอยู่ได้ ของทุกอย่างมันอยู่ที่การฝึกฝน นนนี่ก็แฮปปี้ดี ถามโน่นถามนี่พระ แอนบอกเขาว่าลูกมาทำบุญใหญ่ขนาดนี้ เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่ได้เท่ากับวันนี้ที่ลูกไปทำบุญทั้งวันหรอก

พ่อแม่บางคนไปวัดพูดกับพระ ลูกมันไม่ยอมซึมซับอะไรเลย พระท่านตอบว่าคุณได้ฝึกเขามารึเปล่า ให้เขาได้เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เด็กจะเรียนรู้จากพฤติกรรมของพ่อแม่ บ้านฉันเป็นอย่างนี้นะ บ้านฉันทำบุญ ใส่บาตรทุกวัน ทำกันมาอย่างนี้ แล้วก็จะเคยชิน เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนเลือกเองว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แล้วจะนำติดตัวไปรึเปล่า

การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากนะ พระพุทธเจ้าบอกไว้ เหมือนเต่าตาบอดอยู่ใต้ทะเล กี่พันกี่หมื่นล้านปีที่จะโผล่ขึ้นมาสักครั้งแล้วลอดห่วงออกไปได้เกิดเป็นมนุษย์ ดังนั้นคุณจะไม่รักษาคุณค่าของความเป็นมนุษย์แล้วเลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวคุณเองเหรอ อันนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

แอนให้เท่าที่เราให้ได้นะคะ ให้ทั้งในเรื่องของทางโลกและทางธรรม เราสามารถที่จะปลูกฝังจิตสำนึกให้เขาได้ อย่างไปทำบุญด้วยกันคือให้เขาเห็นคุณค่าของการให้ นนนี่ก็ถามทำไมเต่าถึงต้องตาบอดด้วย แล้ววงมันเล็กแค่ไหน พอดีตัวเต่าเลยใช่มั้ย (หัวเราะ) ต้องอาศัยการเล่าการพูดคุย

ตอนเช้าส่งลูกไปโรงเรียน ถ้าไม่มีอะไรคุยแอนจะเปิดธรรมะให้ฟัง เขาคงเบื่อบ้างเหมือนกัน บางทีก็บ่น “เฮ้อ เอาอีกแล้ว” เขายังเป็นเด็กอยู่ เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้บอกว่าแม่อยากฟัง ให้แม่ฟังบ้างไม่ได้เหรอ หนูลองฟังดีๆ สิ อันนี้สนุกนะ หลอกล่อกันไป ขำๆ บ้าง ไม่ต้องสอนแบบจริงจังมาก พยายามเป็นเพื่อนเขาค่ะ

แอนจะไม่โกหกลูกเลยนะ จะบอกความจริงตลอด ถึงแม้วันที่แยกทางกับสามี แอนบอกลูกก่อนว่าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องเลิกกัน “หนูเข้าใจนะ พ่อทำงานตอนกลางคืน เราไม่มีเวลาเจอกัน แล้วอุปนิสัยก็เข้ากันไม่ได้ แม่เองก็เสียใจนะ” แล้วมีคำพูดของลูกประโยคนึง ตอนนั้นขับรถไปด้วยกันสองคน นนนี่มองฟ้าแล้วบอกว่า “ดาวสวยจังเลยเนอะ ถ้าหนูอธิษฐานได้นะ หนูอยากให้พ่อกับแม่กลับมาดีกันจังเลย” แอนฟังแล้วก็น้ำตาไหล บอกเขาว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ลูกต้องยอมรับนะ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่มีใครทิ้งนนนี่ใช่มั้ย นนนี่โชคดีกว่าคนอื่นตั้งเยอะ มีตั้งหลายบ้านแน่ะ อยู่บ้านพ่อก็ได้ บ้านแม่ก็ได้ มาอยู่บ้านยายก็ได้ บ้านปู่อีก ทุกคนรักลูกหมด” ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ


ธรรมะภาคปฏิบัติ

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ต้องลงมือกระทำ พระพุทธเจ้าบอกว่า ‘ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ’ วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน เรื่องนี้ไม่สามารถบอกได้ อ่านหนังสือก็เหมือนรู้ว่าข้าวผัดทำยังไงบ้าง ขั้นตอนการทำต้องตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน, กระเทียม, ข้าว, หมู แต่คุณยังไม่เคยลงมือทำเองเลย จะรู้ความรู้สึกจริงๆ ในระหว่างการผัดได้ยังไง คุณก็เชื่อตามตำราใช่มั้ยคะ ดังนั้นควรควบคู่กันไป อ่านหนังสือไม่ได้ซาบซึ้งตราตรึงเหมือนการได้ลงมือปฏิบัติ อย่างที่คุณแม่สิริบอก มันหยั่งรากลึกเข้าไปอยู่ในจิตใจ ปรับเราให้มีจิตที่ละเอียดขึ้น มองคนอื่นอย่างเห็นอกเห็นใจขึ้น พรหมวิหาร ๔ สามารถเกิดขึ้นในใจเราได้ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูก

แหล่งที่มา http://www.budpage.com