PDA

View Full Version : อุปกิ​เลสของสมาธิ​



callmeos
03-04-2008, 10:54 PM
<div align="center">อุปกิ​เลสของสมาธิ​</div>



สมัยหนึ่ง​ ​พระ​ผู้​มีพระภาคเจ้าประทับ​อยู่​ที่ป่า​ ​ชื่อว่า​ ​ปาจินวังสะทายวัน​ ​แขวงเมือง​ ​โกสัมพี​ ​ณ​ ​ที่​นั้น​ ​ภิกษุ​ ๓ ​รูป​ ​คือ​ ​พระอนุรุทธะ​ ​พระนันทิยะ​ ​และ​พระกิมพิกะ​ ​ได้​กราบทูล​ ​พระพุทธองค์ว่า​ ​ข้าพระองค์​ทั้ง​สามพยายามกำ​หนดเห็นแสงสว่าง​ ​แล้ว​เห็นรูป​ทั้ง​หลาย​ ​แต่​ ​แสงสว่าง​และ​รูป​นั้น​เห็น​อยู่​ไม่​นาน​ ​ก็หายไป​ ​ข้าพระองค์​ทั้ง​สาม​ไม่​ทราบว่า​ ​เป็น​เพราะ​เหตุ​ไร​? ​พระสัมมาสัมพุทธเจ้า​จึง​ได้​ตรัส​กับ​ภิกษุ​เหล่า​นั้น​ ​ดังต่อไปนี้​ :-

"อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ (ตรัสแก่ภิกษุ​ทั้ง​สามองค์​ ​แต่ทรงเรียกอนุรุทธะ​เป็น​องค์​แรก) ​แม้​ ​เรา​เองครั้งก่อนแต่ตรัสรู้​ ​ยัง​ไม่​ได้​ตรัสรู้​ ​ยัง​เป็น​พระ​โพธิสัตว์​อยู่​ ​กำ​หนดเห็นแสงสว่าง​ได้​ ​และ​ ​เห็นรูป​ทั้ง​หลาย​ ​แต่​ไม่​นาน​เท่า​ไร​ ​แสงสว่าง​และ​การเห็นรูป​นั้น​ก็หายไป​ ​เราก็​เกิด​ความ​สงสัยว่า​ ​อะ​ไรหนอ​เป็น​เหตุ​ ​เป็น​ปัจจัย​ให้​แสงสว่าง​และ​การเห็นรูป​นั้น​หายไป​ ​เราก็คิด​ได้​ว่า​ ​อุปกิ​เลส​ ​เหล่านี้​เป็น​เหตุ​ ​เป็น​ปัจจัย​ให้​แสงสว่าง​และ​การเห็นรูป​นั้น​หายไป​

อุปกิ​เลสเหล่านี้​ ​คือ​
๑. ​วิจิกิจฉา​ ​ความ​ลังเล​หรือ​ความ​สงสัย​
๒. ​อมนสิการ​ ​ความ​ไม่​ใส่​ใจ​ไว้​ให้​ดี​
๓. ​ถีนมิทธะ​ ​ความ​ท้อ​และ​ความ​เคลิบเคลิ้มง่วงนอน​
๔. ​ฉิมภิตัตตะ​ ​ความ​สะดุ้งหวาดกลัว​
๕. ​อุพพิละ​ ​ความ​ตื่นเต้น​ด้วย​ความ​ยินดี​
๖. ​ทุฏจุลละ​ ​ความ​ไม่​สงบกาย​ ​ความ​คะนองหยาบ​
๗. ​อัจจารัทธวิริยะ​ ​ความ​เพียรจัดเกินไป​
๘. ​อติลีนวิริยะ​ ​ความ​เพียรย่อหย่อนเกินไป​
๙. ​อภิชัปปา​ ​ความ​อยาก​
๑๐. ​นานัตตสัญญา​ ​ความ​นึกไป​ใน​สิ่งต่างๆ​ (เรื่องราวต่างๆ​ ​ที่​เคยผ่านมา​ ​หรือ​เคย​ ​จดจำ​ไว้​ ​มาผุดขึ้น​ใน​ขณะทำ​สมาธิ)
๑๑. ​รูปานัง​ ​อตินิชฌายิตัตตะ​ ​ความ​เพ่งต่อรูปจนเกินไป​.

​อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ ​เมื่ออุปกิ​เลสเหล่านี้​ ​แม้อย่าง​ใด​อย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่​เรา​แล้ว​ ​สมาธิ​ ​ของเราก็​เคลื่อนไป​ ​เพราะ​อุปกิ​เลสเหล่านี้​เป็น​ต้นเหตุ​ ​เมื่อสมาธิ​เคลื่อน​แล้ว​ ​แสงสว่าง​และ​การ​ ​เห็นรูปก็หายไป​ ​ฉะ​นั้น​ ​เราพยายามสอดส่องดูว่า​ ​วิธี​ใด​จะ​ทำ​ให้​อุปกิ​เลสเหล่านี้​เกิดขึ้น​ไม่​ได้​ ​เราก็ทำ​ใจ​ไว้​โดย​วิธี​นั้น​ ​อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ ​เรารู้ชัดว่า​ ​วิจิกิจฉา​ ​เป็น​ต้นเหล่านี้​ ​เป็น​อุปกิ​เลสของจิต​ ​จึง​ได้​ละ​เสีย"

เ​ ​ห​ ​ต​ ​ุข​ ​อ​ ​ง​ ​ก​ ​า​ ​ร​ ​ไ​ ​ม่​ ​เ​ ​ห็​ ​น​ ​แ​ ​ส​ ​ง​ ​ส​ ​ว​ ​่า​ ​ง​ ​แ​ ​ล​ ​ะ​ ​ร​ ​ูป

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า​ได้​ตรัส​กับ​ภิกษุ​เหล่า​นั้น​ต่อไปอีกว่า​ ​อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ ​เรา​ทั้ง​ที่​ไม่​ประมาท​ ​มี​ความ​เพียรประคองจิต​ไว้​ใน​สมาธิ​อยู่​ ​บาง​ ​ครั้งก็​เห็นแต่​แสงสว่าง​ไม่​เห็นรูป​ ​บางครั้งก็​เห็นแต่รูป​ไม่​เห็นแสงสว่าง​ ​เป็น​ดังนี้​ทั้ง​คืนบ้าง​ ​ทั้ง​ ​วันบ้าง​ ​ทั้ง​คืน​และ​ทั้ง​วันบ้าง​ ​เรา​จึง​เกิด​ความ​สงสัยว่า​ ​อะ​ไรหนอ​ ​เป็น​เหตุ​เป็น​ปัจจัย​ ​ให้​เป็น​เช่นนี้​.

อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ ​เราคิด​ได้​ว่า​ ​ขณะ​ใด​ ​เรา​ไม่​นึก​ถึง​รูป​ ​นึก​ถึง​แต่​แสงสว่าง​ ​ขณะ​นั้น​เราก็​เห็นแต่​แสงสว่าง​ไม่​เห็นรูป​ ​ขณะ​ใด​เรา​ไม่​นึก​ถึง​แสงสว่าง​ ​นึก​ถึง​รูป​ ​ขณะ​นั้น​เราก็​เห็นแต่รูป​ ​ไม่​เห็นแสงสว่าง​ ​เป็น​ดังนี้​ ​ทั้ง​คืนบ้าง​ ​ทั้ง​วันบ้าง​ ​ตลอด​ทั้ง​คืน​และ​ทั้ง​วันบ้าง​. ​อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ ​เรา​เมื่อ​ไม่​ประมาท​ ​มี​ความ​เพียร​ ​ประคองจิต​ไว้​ใน​สมาธิ​อยู่​ ​บางครั้งเห็นแสงสว่างนิดเดียว​ ​เห็นรูปนิดเดียว​ ​บางครั้งเห็นแสงสว่างมาก​ ​เห็นรูปมาก​เป็น​ดังนี้​ ​ตลอด​ทั้ง​คืนบ้าง​ ​ตลอด​ทั้ง​วันบ้าง​ ​ตลอด​ทั้ง​คืน​ทั้ง​วันบ้าง​ ​เรา​จึง​เกิดสงสัยว่าอะ​ไรหนอ​เป็น​เหตุ​ ​เป็น​ปัจจัย​ ​ให้​เป็น​เช่นนี้​

อนุรุทธะ​ทั้ง​หลาย​ ​เราคิด​ได้​ว่า​ ​ขณะ​ใด​ ​สมาธิของเราน้อย​ ​ขณะ​นั้น​จักษุก็มีน้อย​ ​ด้วย​จักษุอันน้อย​นั้น​ ​เรา​จึง​เห็นแสงสว่างน้อย​ ​เห็นรูปก็น้อย​ ​ขณะ​ใด​สมาธิของเรามาก​ ​ขณะ​นั้น​ ​จักษุก็มีมาก​ ​ด้วย​จักษุอันมาก​นั้น​ ​เรา​จึง​เห็นแสงสว่างมาก​ ​เห็นรูปก็มาก​ ​เป็น​ดังนี้​ทั้ง​คืนบ้าง​ ​ทั้ง​ ​วันบ้าง​ ​ตลอด​ทั้ง​คืน​และ​ทั้ง​วันบ้าง​.


จาก​ ​หนังสือสวดมนต์​ฉบับ​ธรรมทายาท​และ​อุปสมบทหม